Wednesday, October 17, 2007

โย่ววว...4.00 แว้ววว...

เป็นไปตามคาดหมายครับเทอมนี้กับเกรด 4.00 ที่ตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่ต้นเทอม สุดท้ายผมก็ทำได้จริงๆ แม้ว่าจะมีแอบเสียวบ้างในบางวิชาแต่ก็กระตุ้นตัวเองจนได้ รู้สึกภูมิใจจังมันเหมือนกับว่าได้ชนะใจตัวเอง ทำสิ่งที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ถึง 1 เทอม คือประมาณ 4 เดือนที่ต้องตั้งใจและต้องไม่พลาดถึงจะได้มา...

เป็นอีก 1 บททดสอบความตั้งใจในอนาคตครับ...ว่าผมน่ะ จะไม่ปล่อยให้พลาดไปเช่นเดียวกัน ตอนนี้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างว่า "ต้องทำตอนนี้ ให้ดีที่สุดก่อน"...

เรื่องงานวิจัย หรือ Thesis จบ นั้นก็คงต้องรอปลายปี ถึงจะรู้ครับว่าจะได้ทำเรื่องอะไร เพราะผมน่ะเริ่มจะเรียนรู้สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ มากขึ้นว่า มันไม่เหมือนกับแบบเดิมๆ นะ ที่ขอแค่ตั้งใจจะทำก็พอ ได้ทำแน่นอน แต่ที่นี่น่ะ ต้องรอ "ทุน" ก่อน

เป้าหมายของผมเทอมหน้าก็คือ 4.00 เช่นเดิม แต่คราวนี้ ยากกว่าเดิมแน่นอน แต่ผมจะพยายามครับ เป้าหมายสูงสุดของผมก็คือ 4.00 ตลอดการศึกษา ป.โท และก็มีผลงานตีพิมพ์ดีๆ ซักอัน ก็พอใจแล้ว...

จะว่าไปก็มีควันหลงเทอมนี้เหมือนกันนะครับ...ตัวนึงที่ผมเรียน คิดว่าน่าจะมีคนได้ A ถึง 80% เลยทีเดียว คนเรียนก็มีไม่กี่คนไม่ถึงสิบเลย แต่ได้ A กันเยอะมาก ทั้งๆ ที่วิชานี้ผมทำคะแนนห่างจากคนอื่นซ่ะกระจุย จนแทบจะคาดว่า น่าจะมีคนได้ A ต่อจากผมแค่คนเดียว สุดท้าย เล่นซ่ะ A เกือบหมด...น่าคิดจริงๆ ครับ

แต่ช่างเถอะ จะยังไงก็แล้วแต่ผมน่ะคิดว่า 4.00 ของผมมีคุณค่าเสมอ เพราะมันเป็น 4.00 ที่มาจากความตั้งใจจริง มาจากคะแนนที่สูงจริง (ท๊อป รองท๊อปเซคชั่น) และก็ผลงานดีจริง (ผมลงมือทำเองเกือบหมด) เอาะครับ เทอมหน้าผมก็จะสู้ต่อไป...

ลืมไปว่าต้นเดือนหน้านี้ผมก็ต้องสอบภาษาอังกฤษอีกนี่หว่า เกือบลืมไปเลย ก็ต้องฟิตด้วยครับ...

เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะ แค่ "สู้ๆ นะ" ก็เพียงพอแล้วล่ะ อิอิ

^^Y

Tuesday, October 16, 2007

เพลง นาทีสุดท้าย --- ETC. (Ost.บุพเพเล่ห์รัก)

คงเคยดูกันบ้างใช่ไหมล่ะครับ ละครเรื่องนี้ ผมล่ะติดงอมแงมเลยล่ะ เพราะชอบอั้มเอามากๆ เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดี (ถึงหัวจะเถิกไปหน่อย) แถมจะชุดไหนก็น่ารัก ผมดูไปดูมาจนอินแบบว่า อยากเข้าไปตบหัวพระเอกแล้วบอกว่า "มานี่เดี๋ยวตูแสดงเอง" ป่านนี้คงจบเรื่องไปนานแล้ว ปากแข็งจริงๆ เก๊กอยู่ได้ เสียรมณ์ เอิ๊กๆ...

เพลงนี้เป็นเพลงตอนจบเรื่องครับ ปกติผมชอบเพลงของ ETC มาตั้งแต่อัลบั้มแรกๆ อย่างเพลงซึ้งๆ "เจ้าชายนิทรา" เพลงนี้ก็เช่นกันฟังแล้วซึ้งโคตรๆ แต่เพลงนี้ร้องแบบทรมาน แต่เดาว่าเพลงนี้น่าจะจบแบบ Happy ending แบบในละคร เหมือนว่าผู้หญิงก็มีใจบ้าง แต่ไอ้ผู้ชายน่ะมันไม่ยอมบอก จนเกือบจะสายไป(แต่ก็ไม่สาย)...

ถ้าเรามีชีวิตแบบ Happy ending แบบในละครบ้างก็ดีสินะครับ แต่ไม่ต้องมีตอนจบหรอก เพราะชีวิตที่มีความสุขจริงๆ คือตอนพระ นาง เข้าใจกันตอนจบของเรื่องแล้วก็ต่อจากนั้นมากกว่าเนอะ...

--------------------

วันที่เรามีรักให้ใครสักคน
ถ้ามันเป็นเพียงความรักข้างเดียวก็คงต้องเสียใจ
แต่รักเค้าแล้วไม่บอก ไม่ยอมพูดเพียงคำเดียว แล้วปล่อย
ปล่อยมันให้สายไป ยิ่งช้ำใจ

*ความในใจของฉันที่มีต่อเธอ
มันคือคำว่ารัก รักตั้งแต่วันที่พบกัน
แต่เหมือนว่าฉันไม่แคร์ ไม่เคยสนใจในความรู้สึก
ของใจเธอเลยสักครั้ง อยากให้รู้มันไม่จริง

**และในชีวิตของฉันต้องการแค่เพียงคนเดียวคือเธอ
ก็คงไม่มีประโยชน์ต้องทนเก็บไว้ในใจ
อยากบอกให้เธอได้รู้ฉันจะไม่หนีความจริงจากนี้ไป
นาทีสุดท้าย คงยังไม่สาย...
สำหรับเรา

ซ้ำ *,**

เฝ้ารอมานานแสนนาน วันที่กล้าจะบอกเธอไป
พูดมาจากใจของฉัน ว่าฉันรักเธอ...

**

^^Y...


























Sunday, October 14, 2007

เพลง เจ้าชู้ --- Spin Head

เสียงเพลงมันออกจะแตกๆ หน่อยนะครับ แต่ฟังเพลินๆ ดี โดยเฉพาะทำนองครับ (จริงๆ แล้วผมชอบเพลงที่ทำนองเพราะๆ นะ) ลองฟังช่วง intro สิครับ โอเคเลยล่ะ...

ปกติไม่ชอบผู้หญิงเจ้าชู้นะ แต่บางทีก็อยากให้เค้าเจ้าชู้กับเราบ้างเล็กๆ ก็ดีเนอะ...

"เธอ คงพอใจอย่างนั้น ฉันเพียง คนเฝ้ารอเท่านั้น เมื่อไหร่ เธอจะมาทำฉัน เฝ้าหวังรอวัน เธอนั้นมองมา...ช่วยเผลอใจกับฉันที เจ้าชู้ใช้มันกับฉันที ช่วยมาหน่อยจะได้ไหม ทำให้ฉันเจ็บ จากเธอซักที"

^^Y...

























Saturday, October 13, 2007

ถ้าเกิดมาแล้ว...

ถ้าเกิดมาแล้ว...เราสามารถรักคนๆ เดียวไปตลอดชีวิต ก็คงจะดีไม่น้อยเลยว่าไหมครับ...

มองดูคนรอบๆ ข้างคนอื่นเค้าก็ Happy กับชีวิตคู่เค้าดี ผมเองก็ Happy ดีเหมือนกันครับ แต่ในบางมุมของผู้ชายบางทีมันก็เก็บกดเหมือนกันนะ อาจจะวอกแวกบ้างเป็นบางครั้ง อาจจะแค่อารมณ์ชั่ววูบหรือ ความอยาก รักสนุกแค่บางครั้งบางคราว แต่บางทีมันก็ทำไม่ได้ ไม่งั้นจะทำให้คนที่เรารักต้องเสียใจ...

คนที่เป็นโสดเลยโชคดีไปครับ จะรักสนุกสุดเหวี่ยงยังไงก็ได้ ผมล่ะแอบอิจฉาเล็กๆ ทำอะไรก็ไม่ผิด ในวัยแบบนี้ก็ต้องมีบ้างที่อยาก...แต่ก็ทำไม่ได้ ผู้หญิงบางคนสวยน่ารัก หุ่นดี ก็มีหวั่นไหวไปบ้างสินะ...พอไอ้จะรักใครจริงๆ ก็แห้วตลอด นี่แหละครับชีวิตผม...

เพื่อนผม (ไอ้แต้ม) เคยถามผมอยู่ 3 ข้อ...ว่า 3 อย่างนี้มรึงมีรึเปล่า?..

1.จีบสาวเก่ง?
2.ป๊อปในหมู่สาวๆ ไหม?
3.มีเสน่ห์ในตัวเองไหม หรือมีจุดเด่นอะไรๆ ให้สาวๆ สนใจไหม?

ข้อแรกไม่ต้องคิดเลยครับ ตั้งแต่เกิดมาเนี่ยชอบผู้หญิงนับคนได้ จีบผู้หญิงนับคนได้ แล้วก็แห้วตลอด เหอะๆ...เรียกว่า จีบเนี่ย ถ้าแข่งกับคนอื่นรับรองแห้วกระป๋องแน่นอน ข้อสองนี่บอกได้เลยว่าไม่เคยป๊อป เพราะไม่ใช่แนว ห่ะ ห่ะ แย่จัง...

ข้อสามนี่ก็ต้องมีแหละครับ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ต้องมี ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ตรงไหน?...ผมเองก็มีของผม แต่มีแบบที่ว่า...ผู้หญิงโดยทั่วไป ไม่ค่อยปลื้มนี่สิ - -"

หากผมจะจีบผู้หญิงที่รู้จักกันแป๊ปๆ อยากสนุกไปวันๆ นี่ไม่เคยทำสำเร็จเลยครับ จริงๆ นะ บอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่อยากทำ แต่ก็...ไม่รู้จะเริ่มไง จิตใจด้านความดี ความเลวมันตกันไปหมด ใจนึงก็อยากเลว ใจนึงก็อยากเป็นคนดี แต่ส่วนใหญ่ด้านดีชนะเสมอครับ ผมก็เลยไม่ได้ทำอะไรเลย สุดท้ายสาวๆ ก็ไม่ปลื้ม ว่าไป ป๊อปในหมู่สาวๆ มันก็น่าอิจฉาใช่ไหมล่ะ?

แต่พระเจ้าก็ไม่ทอดทิ้งผมหรอก ถึงแม้ว่าผมจะไม่ป๊อปกับสาวๆ ทั่วๆไป ไว้แก้เครียดแบบนั้น...แต่กลับทำให้ผมน่ะ ให้ความสำคัญกับความรักกับผู้หญิงดีๆ ที่เพียบพร้อมซักคนได้สบายๆ โดยไม่ต้องแบ่งใจให้คนอื่น...

ผมว่าผมโชคดีนะครับ...บางทีถ้าเป็นไปตามที่ผมคิดไว้ ผมอาจจะสมหวัง และมีความสุขมากๆ จริงๆ แบบว่าไม่ต้องการผู้หญิงคนไหนอีกแล้วก็เป็นได้..จริงๆ นะเออ (ถ้าทำได้ก็ดีนะ)...

พอคิดแบบนี้ก็โอเคขึ้นครับ กับสภาพความเป็นจริง ไม่ไปหลงไหลอะไรมากนัก (เพราะไม่มีปัญญา ห่ะ ห่ะ)แต่ก็คงเข้าใจผมใช่ไหมครับว่า บางทีมันก็แค่อยากสนุกบ้างตามประสาผู้ชาย...

ผมอยากจะทำตัวให้ไม่ต้องสนใจอะไร สนใจแต่อนาคตอย่างเดียว แต่มันก็มีสิ่งยั่วยุนี่นา...ใจแข็งแค่ไหน ก็ก็มีคดๆ ได้เหมือนกันเนอะ อย่างว่า...ผมก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนนึง

วันนี้ร่ายยาวเลยครับ เครียดเล็กน้อย ถึงเขียนไปเรื่อยเปื่อย เขียนได้ยาวๆ ขนาดนี้...สงสาร gazebosky blog จัง ดั๊นมีเจ้าของเป็นคนเครียดแถม ขี้โม้อีก ห่ะ ห่ะ ...

^^Y...

เสียใจด้วยว่ะ...ไก่

เมื่อคืน (12 ตุลา)ประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง เพื่อนผม msn มาบอกว่า ตาของเพื่อนเสียแล้ว...

ผมก็เลยรีบโทรไปหามันเพื่อแสดงความเสียใจ เพราะผมก็ รู้จักครอบครัวเพื่อนเป็นอย่างดี ยังดีที่เพื่อนผมอีกคนนึงไปดูแลที่บ้านแทนเรียบร้อยแล้ว...เป็นไม่กี่ครั้งครับ ที่เพื่อนผมต้องเสียน้ำตา ผมคุยก็รู้ได้ทันทีเลยว่า มันน่ะเสียใจ เพราะว่า ตามันจากไปกระทันหันเกิน บางที...มันก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

เอาเถอะว่ะ...ที่สำคัญคือจัดการศพให้ดี รีบกลับมาดูแล แม่ ยาย และน้องๆ ขอให้ย้ายกลับบ้านได้ไวๆ ในฐานะเพื่อนกุจะเป็นกำลังใจให้มึง สู้ๆ ว่ะ ไก่ ^^Y

Friday, October 12, 2007

เพลง อกหัก --- Bodyslam (Save My Life)

ความรัก ต้องพังลงไป อนาคต ที่สุดก็ผ่านพ้นไป
เหลือเพียงหัวใจที่ยับเยิน บาดแผล ลึกเกินเยียวยา
ตื่นจากฝันเพราะถูกปลุกด้วยน้ำตา ทุรนทุรายหัวใจเหนื่อยล้า
*ภาวนาให้ใจได้เจ็บจนเข้มแข็ง แม้มันจะไร้เรี่ยวแรง จะฝืนลุกยืนให้ไหว
คนคนเดียวมันไม่มีสิทธิขนาดนั้น ไม่ทำให้ช้ำถึงตาย ยังไงต้องรับให้ได้
** ชีวิตแค่โดนทำร้าย แต่ที่สุดมันต้องไม่โดนทำลาย
แค่วันนี้หัวใจสลาย เตือนตัวเองว่าถึงยังไง ฉันยังต้องอยู่
ความรักลวงหลอกมันก็แค่เจ็บปวด ไม่มีค่า ให้มันทำลายชีวิตไม่ได้
กีดแขน ไม่ช่วยอะไร ยิ่งตอกย้ำ ยิ่งกีดยิ่งทำร้ายใจยิ่งทำเท่าไร ก็ยิ่งปวดร้าว
*,**,**
ต้องไม่ตาย ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ

^^Y...


























Monday, October 8, 2007

อยากจะเป็นเด็กไปนานๆ...

หมู่นี้ผมไม่ค่อยได้มาเขียนบล็อกเลยเนอะครับ ทั้งๆ ที่ปิดเทอมว่างๆ แท้เลยเชียว แต่พักหลังๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีแรงบันดาลใจในการเขียนแล้ว ประกอบกับหลังๆ จะเป็นแนวบ่น ระบายความรู้สึกซ่ะมากกว่า แต่บล็อกของผมเนี่ยมันก็มีไว้เพื่อสิ่งนี้อยู่แล้วนี่นะครับ...เรื่องความสุข ความทุกข์ และเรื่องราวชีวิตของผม เท่าที่จะเขียนลงไปได้

หลังๆ ผมชอบนั่งคิดอะไรไปเพลินๆ อยู่ดีๆ ก็คิดว่า เอ๊ะ!!! ถ้าเราเป็นเด็กนานๆ ก็คงจะดีสินะครับ เชื่อไหมว่าผมเนี่ยเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุมากๆ เลยนะ เนื่องจากถูกเลี้ยงให้เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบสูงแบบพี่ชายคนโต แต่จริงๆ แล้วผมเนี่ยยังมีความคิดบางอย่างเป็นเด็กๆ อยู่เล้ย...

แต่ก่อนตื่น 7 โมงเช้าไปโรงเรียน พ่อต้องมาปลุกเป็นประจำ เด๊วนี้ ตื่นกี่โมงก็ได้ ตื่นมา(ช่วงนี้) ก็ไม่มีอะไรทำ ทั้งๆ ที่มีอะไรต้องทำอีกแยะ แต่ก็ขี้เกียจ...

แต่ก่อนหลับตอน 4 ทุ่ม เพราะพ่อไล่ให้ไปนอน แต่เด๊วนี้ ตี 2 ก็ยังไม่หลับเล้ย...

ตื่นมาอยู่บ้านมีข้าวให้ 3 มื้อโดยไม่ต้องทำอะไรเลย รอกินอย่างเดียว พออยู่คนเดียว เป็นโรคกระเพาะซ่ะงั้น...

ตอนเย็นได้ไปเล่นกีฬา เล่นบาส ซ้อมเทควันโด เหนื่อยแทบขาดใจ แต่พอแก่ตัวลง ตอนเย็นกลับกลายเป็นเวลาที่เลิกเรียน เลิกงาน เหนื่อยขอนอน รึนั่งจิบเบียร์เย็นๆ ดีกว่า...

ชีวิตวัยเด็กไม่ต้องคิดอะไรมากจริงๆ ครับ โตขึ้นต้องรับผิดชอบหลายๆ อย่าง ต้องฝืนใจทำเรื่องหลายๆ เรื่อง ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่อยากทำ ผมเองน่ะอยากมีชีวิตที่สงบสุข อยู่กับผู้หญิงอันเป็นที่รักซักคนนึงไปตลอด ชีวิต ตื่นเช้าก็ morning kiss เมีย อาบน้ำกินข้าวไปทำงาน กลับมาก็พักผ่อน พาเมียไปกินอะไรอร่อยๆ กลับมาดูละครน้ำเน่าช่วงหัวค่ำ วันหยุดก็พาเมียไปช้อปปิ้ง รึไปเที่ยว relax ตามที่เค้าอยากจะไป ได้เห็นเค้ามีความสุขผมก็มีความสุขล่ะ...

แต่ชีวิตมันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรอครับ?...

ไหนจะค่าห้องพัก ค่าบ้านในอนาคต ค่ารถที่ต้องผ่อน ค่าน้ำ ค่าไฟ เรื่องราววุ่นวายในชีวิตการทำงาน ทะเลาะกับคนนู้นคนนี้ ฯลฯ...แม้แต่ตอนนี้นั่งหายใจอยู่เฉยๆ ยังเหนื่อยเลยครับ...

ที่พูดเนี่ยไม่ได้หมายความว่าผมน่ะ เบื่อหน่ายชีวิต หรือปรับตัวไม่ได้หรอกนะครับ แต่คุณเองก็เคยใช่ไหมล่ะ ที่บางมุมของชีวิต ก็อยากจะนอนดูดาวบนดาดฟ้า นับดาวไปเรื่อยๆ แล้วก็หลับไปอย่างมีความสุข ตื่นเช้ามาไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ขอซักวันเถอะ ที่จะมีความสุข เหมือนชีวิตมนุษย์เงินเดือนไงล่ะครับ วันเสาร์-อาทิตย์ คือวันที่มีความสุขที่สุด(สำหรับคนที่ไม่มีเวร เอ๊ย!! ไม่ได้อยู่เวร หรือเข้าเวรนะ)

เชื่อไหมว่าบางทีหากเราได้เขียน ได้พูด อะไรออกไปบ้างจะทำให้เราสบายใจมากขึ้นแยะเลยนะ...ลองทำบ้างสิครับ เขียนไดอารี่เรื่องอะไรก็ได้เกี่ยวกับตัวคุณ...พอวันนึงกลับมาอ่านแล้วก็อดจะอมยิ้มไม่ได้ว่า นี่ตอนนั้นเราประสาทแดกขนาดนี้เลยรึเนี่ย ห่ะ ห่ะ...^^Y

Saturday, October 6, 2007

เพลง ฝากดาว --- Get II Gether

เพลงเพราะๆ อีกเพลงนึงครับผม...ฟังสบายๆ นะ

"ฝากดาวบนฟ้าถามเธออยู่ที่ไหน เธอจะรู้บ้างไหมฉันคิดถึงเธอ...ขอแค่เธอเท่านั้น ไม่ขออะไรอีกแล้ว ขอแค่มาเติมเต็มให้ฉันหน่อย เพียงเท่านี้ เพียงแค่นี้ที่รอ..."

^^Y...


























Tuesday, October 2, 2007

เพลง ดอกฟ้า --- Another Tide

ผมล่ะแปลกใจจริงๆ ว่าทำไม๊ ทำไม มีหลายคนล่ะที่ชอบบอกว่าผมน่ะ ฟังแต่เพลงแอบรักเค้าข้างเดียว ไม่เบื่อบ้างรึไง หรือมีปมในใจอะไรรึเปล่าเนี่ย...บอกจริงๆ ครับว่าไม่มีปมอะไรหรอกนะ

ผมชอบแนวดนตรีแบบนี้ ฟังสบายแล้วรู้สึกว่าหึกเหิมเหมือนกำลังฟังเพลงมาร์ช ใครนึกไม่ออกก็แนวๆ เพลงชาติไทยเราน่ะแหละครับ เป็นเพลงปลุกใจ ฟังแล้วสดชื่น จริงไหมครับ...อีกอย่างก็คือ มันมีเสียงทรัมเป็ตด้วยน่ะ เป็นเครื่องดนตรีที่ผมอยากเป่าได้ แต่เค้าว่ามันไม่ได้เป่าง่ายๆ นะ เสียงทรัมเป็ตนี่ชอบเป็นการส่วนตัวครับ ดังนั้นเพลงส่วนใหญ่ที่ผมชอบน่ะ มักจะมีเสียงทรัมเป็ตปนอยู่ด้วยเสมอครับ...

ฟังแล้วก็สบายๆ ดีนี่ครับ ถึงเสียงคนร้องจะไม่เท่าไหร่ แต่กลับฟังรื่นหู สบายหูดีออกนะ...^^

"ก็อยากจะเด็ดดอกฟ้า โน้มลงมาได้ไหม โน้มลงมาให้ชื่นใจ จะช้าเพียงใด จะคอยตามเธออยู่อย่างนี้...เพราะหัวใจ หมดหัวใจที่มี คือคนนี้ ก็จะพูดตรงๆ ว่าหลงรักเธอจริงๆ"

^^Y...


























สอบเสร็จซักทีนึง...

เริ่มต้นมาเดือนตุลา วันที่ 2 แล้วตอนนี้ผมก็สอบเสร็จครบสามตัว ผ่านพ้นเทอมที่ 1 ไปเรียบร้อยแล้วครับ ผลจากการเรียน และสอบผ่านไป 3 ตัวนี่พอจะบอกได้ว่า เทอมนี้ผมน่าจะทำได้ตามเป้าที่วางไว้...

ตัวแรก...อันนี้ท๊อปมาตลอดคะแนนทิ้งห่างคนอื่น น่าจะได้ A อย่างไม่มีปัญหา แต่คนเรียนน้อย ก็วัดกันไม่ได้เท่าไหร่ วิชานี้ผมได้คะแนนเยอะเพราะขยันจริงๆ อ่านงานวิจัยเยอะ ทำให้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้นแยะ...

ตัวที่สอง...วิชานี้เรียนกับอาจารย์หลายท่าน ซึ่งแบบนี้ผมไม่ถนัดเลยจริงๆ เพราะผมเก่งบางเรื่อง บางเรื่องธรรมดาๆ แต่ก็ยังรักษาระดับรองท๊อปทุกส่วนได้ ก็ถือว่าโอเคสำหรับผม และก็น่าจะได้ A เช่นเดียวกัน...

ตัวสุดท้าย อันนี้ง่ายกว่าตัวอื่นๆ คะแนนดีพอใช้ แต่ข้อสอบไฟนอลทำให้ผมแทบอ้วกว่า อาจารย์ออกมาได้ไงเนี่ย ทำไม่ค่อยได้ตามที่คาด แต่คิดว่า น่าจะได้ A อยู่นะเพราะมิดเทอมผมทำไว้เยอะ...

สรุปว่าเกรดออกประมาณกลางเดือนตุลานี้ ผมน่าจะได้ 4.00 แบบไม่น่าพลาด...

ผมเองวางเป้าเดือนต่อไปแล้วครับ คือต้อง 4.00 เหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่ใช่อย่างนี้แน่นอน ถ้าผมให้เทอมนี้ผมต้องลงแรงมากกว่าเรียน ป.ตรีปีสุดท้ายประมาณ 130-140% แต่สำหรับเทอมสองผมต้องขยันมากขึ้นถึง 200% เลยทีเดียว โหดมาก แต่ผมน่ะวางแผนรับมือไว้ก่อนแล้ว...

พูดถึงอนาคตแล้วมันละเหี่ยใจครับ ทุกๆ อย่างกลายเป็นว่าผมต้องขวนขวายเองหมดอีกแล้ว หาทุนเรียนเอกเองอีก แต่ผมจะตัดเรื่องนี้ไปก่อนล่ะ ตอนนี้ผมต้องอดทน และก้มหน้า ก้มตาทำปัจจุบันให้ดีก่อนแล้ว เพราะผมคงจะมองข้ามเรื่องตอนนี้ไม่ไหวล่ะ...ต้องทำตอนนี้ให้ดีก่อน เอาเป็นว่า หากดวงดี ผลงานดี ก็คงจะได้ทุนเรียนเอกมั้ง...

นี่ถ้าผมได้กำลังใจดีๆ ก็คงจะดีนะครับ คงสู้ตายเลย แต่ตอนนี้...ต้องช่วยตัวเอง เพื่อตัวเองก่อนล่ะ เอาเป็นว่า สู้ๆ แล้วกันเนอะ..เฮ้อ - -"Y

Saturday, September 29, 2007

ฉางก่วนจิง - ศาสตร์แห่งการยืดหยุ่นพลิกแพลง

หนังสือใหม่ที่ผมซื้อมาเมื่อวานนี้เองครับ ลดแล้วเหลือ 315 บาท อิอิ...

"ฉางก่วนจิง" เป็น คัมภีร์ชุมนุมภูมิปัญญาการปกครองแบบจีนสมัยโบราณ เพื่ออธิบายศาสตร์และศิลป์แห่งการยืดหยุ่นพลิกแพลง วิถีแห่งธรรมและอธรรม กโลบายแบบหยิน หยาง กลวิธีลับและเปิดเผย คุณสมบัติของผู้นำ การพิเคราะห์คน การใช้คน และกุศโลบายการปกครองแบบเหนือชั้น...ว่าไปนั่น

หนังสือแทบทุกเล่มย่อมมีคำนิยม หรือคำที่เชิญชวนผู้อ่านให้เกิดความสนใจในเรื่องราวของหนังสือเล่มนั้นๆ เล่มนี้ก็มีครับ เขายกตัวอย่างว่า...

"นายชั้นยอด เลือก "ครู" เป็นผู้ช่วย นายชั้นกลาง เลือก "สหาย" เป็นผู้ช่วย นายชั้นต่ำ เลือก "ข้าราชการเป็นผู้ช่วย" นายที่ใกล้พินาศเลือก "ทาส" เป็นผู้ช่วย"

เขาอธิบายถึงการเลือกนาย ซึ่งมีความสำคัญมากในสมัยโบราณ รวมทั้งนายเองเลือกผู้ช่วย หรือกุนซือด้วยครับ คงเคยได้ยินบ้างใช่ไหมครับว่า "หงส์อ่อน มังกรหลับ แม้ได้มาเพียงหนึ่ง จักได้ครองแผ่นดิน" คำๆ นี้ได้ให้ความสำคัญกับคน และการใช้คนเป็นอย่างมากเลยล่ะครับ...

แต่สมัยนี้เทคโนโลยีก้าวไกล ผิดยุดผิดสมัยก่อน มีการพึ่งพาเครื่องจักรมากกว่ามนุษย์ซ่ะแล้ว แต่ยังไงๆ คนอ่านเองก็ต้องเลือกบริโภคสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามยุคตามสมัย ตามแก่กาละเทศะ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุดครับ...

ทำไมผมถึงชอบอ่านหนังสือประเภทนี้น่ะหรือครับ?...ไม่รู้ผมเคยบอกไปรึยังว่า คนอ่านหนังสือประเถทนี้หากเกิดกิเลสครอบงำ ก็จะยิ่งทำให้มีแต่ความโลภเอาเปรียบคนอื่นไม่มีที่สิ้นสุด การได้อ่านทำให้ผมเข้าใจ "คน" รู้วิธีที่จะป้องกัน แก้ไข รวมทั้งไม่หลงมัวเมาในอำนาจในอนาคตล่ะครับ...

ผมเตือนตัวเองอยู่เสมอครับว่า ยิ่งมีอำนาจในมือมากเท่าไหร่ ก็ต้องมีคุณธรรมมากเท่านั้น...เปรียบได้กับ "ความรู้ คู่คุณธรรมครับ" ^^Y

Sunday, September 23, 2007

When am I doing to die?

คุณรู้ตัวไหมครับว่าคุณน่ะ จะตายเมื่อไหร่ หากพูดไปแบบนี้มันก็เหมือนกับแช่งกัน แต่ความเป็นจริง คุณก็ต้องตายไม่วันใดก็วันนึง จริงไหม? ครับ งั้นก็ลองมาดูซิวันคุณน่ะ จะตายเมื่อไหร่กับเวปนี้ www.deathclock.com

เท่าที่ผมดูน่ะ เหมือนจะวัดกันที่การใช้ชีวิตประจำวันและสุขภาพมากกว่า ไม่ได้บ่งบอกแบบว่าดวงคุณจะตายตอน 90 อะไรแบบนี้...จะยังไงก็ตามลองทำ ลองวัดดูก็ไม่เสียหายนะครับ อย่างน้อยก็พอรู้ว่าหากคุณใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ ร่างกายคุณจะพอไหวได้ซักกี่ปี?...อิอิ

ผลปรากฎว่าของผม จะตายวันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.2058 หรือถ้านับแบบลวกๆ ก็อีก 51 ปีแหละครับ ผมคงจะตายตอนอายุ 74 ...เฮ้ยยย ต้องบอกว่าอายุ 73 สินะ ที่จะตายน่ะ เพราะยังไม่ถึงวันเกิดผมเลยนี่นะ

แต่ผมก็เคยคาดไว้นะครับว่าคงอยู่ไม่น่าจะอยู่ถึงอายุ 70 แน่ๆ เหมือนรู้ตัวว่าจะอายุไม่ยืน คงตายอายุประมาณที่ว่านี่แหละ สรุปก็คือ ผมคงใช้เวลาเรียนครึ่งชีวิต และทำงานอีกครึ่งชีวิตตามที่คาดไว้จริงๆ...เอาล่ะครับ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทุกๆ คนคงรู้แล้วสินะว่าเวลาเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าหากตอนนี้มีอะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำล่ะก็ ลงมือเลยนะครับ ก่อนที่จะตายก่อน...เอิ๊กๆ ^^Y

Thursday, September 20, 2007

ดวงชะตาและอุปนิสัยเฉพาะตัวจากปลายนิ้ว

เป็นความจริงที่ยอมรับกันแล้วว่าแต่ล่ะคนบนโลกใบนี้มีชุดลายนิ้วมือที่แตกต่างกันหมด ชาวจีนได้คิดค้นวิธีที่จะอ่านลักษณะพิเศษด้านบุคลิกและโชคชะตาโดยการศึกษาริ้วคลื่นและวงกลมที่ปรากฎอยู่บนปลายนิ้วมือของแต่ล่ะคน ซึ่งจริงๆ แล้วเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณว่า ตระกูลดังๆ จะตรวจสอบนิ้วมือของหญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่รับผู้หญิงที่มีลายนิ้วมือแบบสลับไปมาระหว่างวงกลมและริ้วคลื่น เพราะเชื่อว่าลักษณะนี้จะนำปัญหามาสู่ตระกูล ควบคุมยากและมักจะก้าวร้าวมาก...

ผมไปเจอบทความๆ นึงที่บ่งบอกได้ถึงโชคชะตาและบุคลิกลักษณะนิสัยตามลายวงกลมและริ้วคลื่นบนปลายนิ้วทั้งห้าในแต่ล่ะมือ โดยผู้ชายดูที่มือซ้าย และผู้หญิงดูที่มือขวา โดยให้เริ่มอ่านจากนิ้วโป้งก่อนแล้วไปนิ้วชี้ กลาง นาง ก้อย นี่คือลำดับที่บ่งบอกนัยเกี่ยวกับดวงชะตาและโชคลาภในชีวิตของคุณ ดังรูป...

เพื่อให้ง่ายจะใช้ O แทนวงกลม และ W แทนริ้วคลื่นนะครับ...

ผมก็เริ่มดูนิ้วมือซ้ายของตัวเองอย่างถี่ถ้วน ค่อนข้างดูยากเหมือนกัลระหว่าง วงกลมก้นหอย กับริ้วคลื่นที่เหมือนจะเป็นวงกลมแต่ไม่ใช่ จริงๆ แล้วมันเป็นริ้วคลื่นที่มาบรรจบกัน หลังจากที่ลองเพ่งดู จนปวดตา ผลปรากฎว่าเป็น WOOWW นั่นก็หมายความว่า...

"คุณเป็นคนที่น่าเชื่อถือ และมีนิสัยรักสงบ ดังนั้นคุณจึงเป็นคนที่สามารถประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เพราะความทะนงตัวของคุณเอง อาจทำให้คุณไปล่วงเกินผิดคนเข้า"

พอดูคำทำนายผมก็คิดๆ ดูว่ามันอาจจะจริงนะครับ เพราะผมนี่นิสัยพูดแบบตรงไป ตรงมา และไม่ค่อยถนอมน้ำใจคนเท่าไหร่ แม้ว่าผมจะรู้ว่าคนนี้ควรจะพูดยังไงถึงจะดี แต่ก็ไม่ชอบพูด คือไม่ชอบโกหกหลอกหลวงน่ะ คิดยังไงก็พูดยังงั้น...มีคนเคยบอกผมไว้ว่า ผมจะได้ดีเพราะคำพูด แต่ก็บอกว่าต้องระวังคำพูดตัวเองไว้ด้วย อาจส่งผลร้ายกับชื่อเสียงตัวเองได้ จากปากนี่แหละครับ ^^"

ดูนิ้วมือของเองเป็นยังไงบ้างครับเนี่ย ได้ผลยังไง? ถ้าอยากรู้ล่ะก็ คอมเม้นต์ไว้แล้วกันนะครับ ผมจะมาตอบให้ จริงๆ ขี้เกียจเขียน เพราะมันเยอะแล้วก็ก๊อปวางไม่ได้ ว่าแต่ จะมีใครเข้ามาดูไหมเนี่ย? - -"

Tuesday, September 11, 2007

เป็นเกย์แล้วสามารถกลับเป็นผู้ชายแท้ๆ ได้ไหม?

วันนี้ผมเข้าไปอ่านข่าว ดูกระทู้ตามปกติ พอดีเจอหัวข้อกระทู้ที่น่าสนใจเรื่องนึง ที่ว่า "เกย์สามารถกลับใจเป็นผู้ชายแท้ๆ ได้มั้ย?"...คิดว่ายังไงกันครับ?

คนตอบกระทู้ส่วนใหญ่ เรียกว่าหมดเลยก็ได้นะ บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้หร๊อกกกก...ผมเองก็เชื่อยังงั้นว่า เป็นเกย์ไปแล้วไม่แคล้วต้องเป็นตลอดไป เอิ๊กๆ...ผมว่านี่มันเป็นปัญหาของผู้หญิงหลายคนเหมือนกันนะ คบกับผู้ชายที่แมนๆ ที่คิดว่านิสัยดิ๊ดีสักคนนึง นอกจากต้องระแวงว่าจะมีผู้หญิงอื่นมาให้ท่า แอบไปมีกิ๊ก เผลอๆ ต้องมาระวังผู้ชายอีก วันนึงอาจจะต้องบอกว่า "กรี๊ดดด...แฟนหนูโดนผู้ชายอื่นแย่งไปแล้ว" ก็เป็นได้ เอิ๊กๆ

ผมมีเพื่อนเป็นเกย์คนนึง (ต้องบอกว่าเป็นเกย์สินะ เพราะมันแต่งชาย แต่แต๋วแตก)มันบอกว่า ข้างหน้าเนี่ยมันงั้นๆ สู้ข้างหลังไม่ได้ มันกว่าเยอะ แถมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังด้วย ผมบอกไม่ต้องล่ะครับพี่ เกรงใจ เด๊วจะอ้วกแตกไปซ่ะก่อน...ง่า

สรุปว่า เกย์ก็ย่อมเป็นเกย์ วันยังค่ำนะคร๊าบ จะให้เค้าชอบข้างหน้าเหมือนข้างหลังก็คงไม่ได้เนอะ ^^ สุดท้ายมีกลอนมาฝาก เห็นว่ามันฮา ดี...อิอิ

แม้แต่ โจรร้าย ทั้งหลายแหล่
เวลาแก่ ก็ยัง หันหลังกลับ
แต่พวกเกย์ ไปแล้ว ไปลับ
ไม่ยอมกลับ ทั้งตัว และหัวใจ

แม้นว่าเกย์ ได้หน้า กันมาแล้ว
แต่ไม่แคล้ว กลับไป ได้ข้างหลัง
เพื่อนหญิงเอย ขอให้ จงระวัง
ถึงเสียหลัง มิอาจรั้ง หัวใจเกย์

o_O!!!

เครดิตคุณ m;o เวป mThai ครับ ^^Y

Monday, September 10, 2007

Scorpion Kick!!! o_O!!!

อะไรจะยิงกันเทพขนาดนั้น แต่จริงๆ แล้วยิงกันง่ายๆ จะดีกว่าไหม? - -"



Uploaded by
Super-Goal.info

Sunday, September 9, 2007

Beautiful Girls --- Sean Kingston

“Beautiful Girls” เพลงของนักร้องแร็กเก้หน้าใหม่นาม Sean Kingston ซิงเกิลนี้ตัดมาจากอัลบัม Sean Kingston. ซึ่งตอนนี้เพลงนี้กำลังเป็นที่นิยมในอเมริกามากๆ และติดอันดับ 1 ใน Billboard Hot 100 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยครับ

ตัวเพลงเป็นแนว แร็กเก้-ป็อป ฟังสนุก ซึ่งอัลบัม Sean Kingston นี้ได้วางจำหน่ายไปแล้วในอเมริกาในวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา

อันนี้เนื้อเพลงจ้า...ปล.ใครแปลได้ช่วยแปลที ^^"


Sean Kingston - Beautiful Girls lyrics

เพลง อบเชย --- Armchair (Pastel Mood)

เพลงของวง Armchair เก่าอย่างแรง จำได้ว่าเป็นอัลบั้มแรกของวงนี้เลยล่ะ มีคนบอกว่าอัลบั้มแรก กับอัลบั้มที่สองน่ะ เพราะที่สุดเพราะนักร้องนำยังเสียงดี พออัลบั้มที่สามเริ่มแย่เพราะกินเหล้าหนัก ไม่รู้จริงเปล่าไม่รู้ครับ แต่ผมว่าน่าจะจริงนะ...

เพลงนี้เป็นเพลงที่เหมือนจะฟังแล้วจะหลงยุคไปยุคของพ่อแม่เราเลยล่ะนะ แต่ผมว่า มันได้อารมณ์ดีกับเพลงเพราะๆ ฟังสบายๆ ผสมผสานกับภาษาเพลงยุคเก่า ความหมายดี ที่ไม่ใช่โต้งๆ เหมือนกับเพลงในปัจจุบัน ไม่แปลกใจเลยล่ะว่านักร้องสมัยก่อน ทำไม๊...คนติดกันจริงๆ ไม่ใช่แบบฉาบฉวยอย่างสมัยนี้...จริงไหมครับ

ผมคิดไว้ว่าหากแต่งงานแล้ว ก็อยากจะร้องเพลงนี้ให้ภรรยาฟังเวลาเธอมีความทุกข์ มันคงจะพอช่วยได้บ้างนะ...จริงอยู่ว่าผมชอบผู้หญิงที่ร่าเริงสดใส ยิ้มเก่ง แต่เธอก็คงจะต้องมีเรื่องที่ต้องทุกข์ใจบ้าง สิ่งเหล่านั้นก็คงจะทำให้เธอไม่สดใสเหมือนเคย...ผมก็อยากที่จะช่วยแบ่งเบาความทุกข์ให้เธอกลับมายิ้มได้ล่ะ...

ถ้าคุณฟังเพลงนี้เข้าใจแล้วล่ะก็ คงจะเข้าใจความรู้สึกของผมที่คิดจะบอกแล้วล่ะ...อิอิ ^^Y

ศิลปิน : อาร์มแชร์ (Armchair)
อัลบั้ม : Pastel Mood
เพลง : อบเชย

วันนี้เธออาจจะร้องไห้ หัวใจอาจจะว้าเหว่
สรรพสิ่งหริ่งเรไรคร่ำครวญ กำสรวญจิตใจ คล้ายน้ำตา

* ฮืม...ความรักที่จบด้วยร้าวราน รักที่ทำให้หมองหม่น
อยากจะแบ่งสิ่งที่เธอทุกข์ทน ด้วยคนเถิดหนา

** จะขอดวงดาราบนนภา มาช่วยปลอบใจฤดีดวงใจขวัญตา
ขวัญเอยพี่เคยหวงกระนั้นเลย ฝากลมรำเพย พัดเบาๆ

*** โอ้เอยเจ้าอบเชย นะเจ้าเอย ไม่เคยให้หมองหม่น
โอ้เอยนะเจ้าเอย เจ้าอบเชย เจ้าไม่เคยได้พักใจ
ไม่มีอะไรจะทำร้าย ปล่อยตามสบาย
สิ่งใดๆที่กล้ำกรายก็จะหายไป
นอนเสียเถอะหนา

(ซ้ำ * , ** , ***)
ฉันขอเพียงให้เธอหลับ นอนเสียเถอะหนา
ฉันขอเพียงให้เธอหลับ หลับลงเถอะนะ


Friday, September 7, 2007

กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย?...

ช่วงนี้มีเวลาก็ขอพักผ่อนบ้างก็ดีครับ เข้ามาเล่นเน็ตฟังเพลง ก่อนที่จะตั้งใจทำงานจริงๆ เมื่อวานผมนั่ง copy and paste งานทั้งวัน ปวดตา ง่วงนอนมากๆ แต่ก็อยากเล่นเกมก่อนนอนก็เลยเล่น winning ยิงประตูไปจนอิ่ม ฝันดีเลย...งานเอาไว้ก่อนเนอะ แต่ตอนนี้เริ่มง่วงอีกล่ะ กำจริงๆ...ผมนี่ต้องนอนเยอะๆ หัวถึงจะแล่นนะ เฮ้อ

ปกติผมก็ชอบดูอะไรที่ทายนิสัย ชอบดูว่ามันจะตรงไหม อย่างวันนี้ผมไปดูเรื่อง "กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย" ก็เลยเอามาคิดๆ ดูว่านี่ตรงกับนิสัยผมเองไหม? ปล.ผมเลือดกรุ๊ป A นะ

กรุ๊ปเลือด A : นิสัยพื้นฐานของคนกรุ๊ปเลือด A คนกรุ๊ป A เป็นคนที่ค่อนข้างจะรอบคอบสุขุมและไว้ตัวนิดๆแต่ไม่ถึงกับหยิ่ง เขาค่อนข้างจะโดดเด่นหรือเป็นหนึ่งอยู่เสมอจนบางครั้งดูเป็นคนที่จริงจังเกินไป พวกเขาจะทำอะไรมักวางแผนการหรือล็อกโปรแกรมเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ ไม่ชอบจับแพะชนแกะถึงจะแก้เฉพาะหน้าได้เก่งพอตัวก็เถอะ

จริงๆ ก็ตรงมากเหมือนกันนะครับ ผมภายนอกดูสุขุมก็จริง แต่หากเร่งรีบทำอะไรล่ะก็ ถึงมันจะไวได้ใจ แต่ก็จะผิดพลาดง่ายๆ เสมอ เรียกว่าผมเนี่ยต้องค่อยๆ ทำ ค่อยๆ คิดวางแผนก่อนจะทำอะไรเสมอๆ เลยล่ะ อีกอย่างผมเป็นคนที่จริงจังมาก หากตั้งใจก็จะตั้งใจจริงๆ สังเกตว่านี่เป็นโรคกระเพาะไปเรียบร้อย เพราะเครียดกับอนาคตที่กดดันผมจริงๆ เรื่องวางแผนไว้ล่วงหน้าเนี่ย ผมชอบถูกว่าเสมอๆ ว่าคิดอะไรไกลเกินไป อย่างที่บอกก็คือ ผมน่ะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้สบายๆ แต่แค่ไม่ชอบการเร่งรัดที่จะแก้ปัญหาที่จะตามมา เลยชอบคิดแก้กันไว้ก่อน คนอื่นเลยมองผมแบบนั้น จริงๆ แล้วผมน่ะทำตามที่คิดไว้ได้เกือบ 100% เลยล่ะ (โม้จริง - -")

หนุ่มกรุ๊ป A : ข้อดีของเขา เขาเป็นคนไม่ดื้อรั้น แม้จะเชื่อมั่นในตัวเองก็ยังยอมรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจาก ผู้คนรอบข้างเอามาไว้ปรับปรุงตัวเอง ถ้าคิดจะทำอะไรเล่นๆกับเขาละก็คิดผิดถนัดเลยทีเดียว เขาเป็นคนเข้าใจอะไรที่ยากๆได้ง่าย ถึงคุณจะนินทาว่าร้ายเขา เขาก็ไม่สนใจ ไม่โกรธ เป็นสุภาพบุรุษ ต่อให้ไม่ชอบใจยังไงก็ไม่ยอมแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาให้เห็น จะคิดให้ดีก่อนพูดก่อนทำจะพึ่งพาอะไรเขาก็ทำให้ น่ารักไหมล่ะหนุ่มเลือดกรุ๊ปนี้ ข้อเสียที่คุณควรรู้เขาเป็นคนลังเลใจมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตัวคุณ เขาก็ยังบอกไม่ได้ชัดเจนว่ารู้สึกยังไง ชอบคิดแต่ในทางร้ายๆ เป็นคนไม่ร่าเริง ที่ร้ายหัวดื้อขนาดไม่ยอมคด ไม่ยอมงอทีเดียว ส่วนเรื่องของความรัก คนกรุ๊ปเลือดนี้ก็จะไม่หลงรักใครส่งเดชเหมือนกัน ต้องพิจารณาดูความเหมาะสม และยังวางฟอร์มอีกต่างหาก บางทีคุณอาจจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นจีบเขาก่อนก็ได้นะ วิธีชนะใจเขาคือ แสดงความจริงใจและจริงจังเชื่อมั่น รวมทั้งลูกตื๊อที่มีสิทธิ์ทำให้เขาใจอ่อนได้ แต่ต้องพยายามหน่อย...

อันนี้ก็ตรงอีกแล้วสินะ อย่างที่ว่ามาหมดเลยน่ะแหละครับ ชอบจะปรับปรุงและพัฒนาตนเอง เป็นพวกไม่รักใครส่งเดช แต่ถ้าชอบ ถ้ารักจริงๆ ล่ะก็ ทุ่มเทสุดๆ เหมือนกัน หัวรั้น เอาแต่ใจตัวเอง จริงจัง แล้วก็เชื่อมั่นมากๆ เพียงแต่บางทีอาจโลเล ไม่มั่นใจ ในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง เกินไป เรียกง่ายๆ ว่าจริงจังเกินไป จนยอมรับความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต ไม่ค่อยได้ มีผลกระทบตลอด...

ก็หมดไปแล้วนะครับ ตรงเกือบหมดเลยเหมือนกัน ตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงล่ะ คงต้องขอตัวไปกินข้าวก่อน เพราะตอนนี้โรคกระเพาะผมมันกำเริบ เนื่องจากไม่ยอมกินยาอีกแล้ว...^^Y

ปล. อันนี้เป็นกรุ๊ปอื่นๆ ครับ ลองไปดูกันได้ว่าจะตรงกับตัวเองไหมนะครับ --->http://blog.hunsa.com/antred/blog/17834

Thursday, September 6, 2007

งานใหญ่ของสัปดาห์นี้!!!

อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่าเดือนนี้งานมันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน สำหรับผมเองงานก็เยอะแยะไม่แพ้คนอื่นๆ เหมือนกัน ก็คงต้องกำหนดงานที่สำคัญๆ ที่จำเป็นต้องเร่งทำ และต้องทำให้ดีก่อนล่ะ ยังงี้คงมีเวลาไปดริ้งค์น้อยลงเหมือนกันนะเนี่ย...

งานที่ว่าก็คือเรื่อง project presentation คิดเป็นคะแนนได้ถึง 20% จากคะแนนเต็มร้อยเลยล่ะ เป็นคะแนนเขียนรายงานบวกกับคะแนนพรีเซนต์ที่เป็นภาษาอังกฤษด้วย o_O!! เป็นงานที่ต้องไปหางานวิจัยที่สนใจมามากกว่า 10 paper ขึ้นไป แล้วให้มาเขียนเป็นงานของตัวเองโดยอ้างอิงงานของคนอื่นเค้า มันไม่หมูเลยน่ะ เพราะงานวิจัยก็เป็นภาษาอังกฤษ งานนี้เลยขึ้นกับว่าเรื่องที่จะเขียนมาน่ะ ใครถนัดเรื่องอะไรมาก่อน?

ตอนแรกผมได้หัวข้อมาเรื่องนึง ที่ง่ายสำหรับผมพอสมควร ก็เลยเริ่มเขียนไปได้หลายหน้า ทำได้หลายวันแล้ว แต่พอทำไปทำมามันเกิดปัญหาขึ้นในใจ?...ง่ายเกินไปไหม? ไม่ค่อยตรงวัตถุประสงค์ของรายวิชามากนัก ไม่น่าสนใจ? รวมทั้งมันมีจุดบอดเต็มไปหมด การจะเขียนให้มันดียาก ถึงทำได้ก็ต้องอาศัยงานวิจัยมากกว่า 30 เรื่อง ถึงจะออกมาดี ซึ่งผมไม่มีเวลาพอ...

ก็เลยต้องไปหาหัวข้ออื่น ที่จะลดวงให้แคบลงมากขึ้น ใช้งานวิจัยน้อยลงมาอ้างอิง ดูแล้วน่าสนใจ ตอนนี้ก็ได้ล่ะ แต่มันกลับกลายเป็นหัวข้อที่ยาก เพราะเป็นความรู้ใหม่ ที่ต่างคนจะต้องไปศึกษาเองส่วนตัว...พูดง่ายๆ ก็คือ ใครอยากเก่งอะไร อยากรู้อะไร จะมาหวังจากห้องเรียนไม่ได้ ต้องศึกษาเองเยอะๆ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมสนใจ ก็เลยคิดว่าทำมันน่าจะดีนะ?

แต่ผมมีเวลาอีกประมาณอาทิตย์กว่าๆ นี่ยังไม่รวมที่จะต้องทำสไลด์พรีเซ็นท์ รวมทั้งเตรียมตอบคำถามอีกนะ สรุป ต้องทำให้เสร็จภายในอาทิตย์เดียว ถ้าเป็นไปได้นะ...ผมก็เลยต้องวางแผนดีๆ ก่อนทำ กะจะเอามารวมกันให้มันหมดเลย งานวิจัยน่ะ แล้วค่อยย่อยๆๆ มันไปเรื่อยๆ แล้วมาเรียบเรียง จัดภาษาเอาใหม่ ก็น่าจะทัน หากเสียเวลาไปอ่านก่อน กว่าจะทำความเข้าใจกว่าจะเขียนอีกไม่ทันแหงมๆ...

งานอื่นๆ ยังมีรออีกบานเลยครับ...แต่ของานนี้ก่อนแล้วกัน งานอื่นๆ ผมยังขอให้สมาชิกในกลุ่มช่วยได้ แต่นี่มันงานเดี่ยวนี่นะ จะขอเห็นแก่ตัวเล็กๆ คงไม่มีใครว่าหรอกเนอะ...อิอิ ^^Y

Tuesday, September 4, 2007

เดือนหฤโหด...

เดือนนี้ก็เป็นเดือนสุดท้ายของเทอมแรกแล้วครับ เป็นเดือนที่จะตัดสินแล้วว่าจะได้เกรดตามที่ตั้งไว้ไหม? แล้วที่สำคัญคืองานเดือนนี้จะเยอะมากๆ เพราะไอ้ที่พลัดๆ ไว้เดือนก่อนๆ ก็จะมาส่งในเดือนนี้ นี่ไม่รวมงานของเดือนนี้ด้วยนะเนี่ย...

นอกจากงานที่สำคัญแล้วก็คือเรื่องสอบครับ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหามากนัก แต่เรื่องงานนี่สิ ที่ผมเป็นห่วง งานเดี่ยวไม่เท่าไหร่ แต่งานกลุ่มเนี่ยมันหนักเอาการ ต้องทำรายงานการทดลองส่งอาจารย์ในขณะที่ใกล้จะสอบแล้ว...

ยอมรับว่าสังคม ป.โท นั้นมันเห็นแก่ตัวกันจริงๆ ไม่กี่วันก่อน กลุ่มผมก็ต้องเตรียมอุปกรณ์การทดลองให้กลุ่มอื่นทั้งหมด เพราะรำคาญที่เรื่องมากเถียงกันอยู่ได้ สงสัยกลัวจะเสียเปรียบกันว่างั้น แต่ก็ยังไม่วายที่จะมีคนบ่นว่า ทำไมเตรียมแค่นี้ เอ๊า!!! นี่ตูเตรียมให้มันก็บุญแล้วนะโว้ยยย...จริงๆ กลุ่มเอ็งต้องเตรียมแท้ๆ ฮ่วยยย

ยังมีเรื่องนัดวันเวลาสอบกันอีก ที่แต่ล่ะคนจะถกเถียงกัน หาว่าไม่พร้อมบ้างล่ะ ทั้งๆ ที่ทุกคนก็เรียนเหมือนกัน เวลาสอบก็วันเดียวกันแล้วจะบอกว่าไม่พร้อมได้ยังไง...ผมเริ่มเห็นจุดอ่อนของพวกเด็ก ป.โท ที่มันยังไม่ได้ทำงานกันจริงๆ บ้างแล้ว คือ...ชอบอ้างว่าไม่พร้อม ไม่ทันนะ จริงๆ แล้วคุณควรจะเตรียมตัวให้พร้อมทุกวันมากกว่า สอบติดๆ กันก็บ่นกันแล้ว สำหรับผมน่ะ วันไหน เมื่อไหร่ขอให้บอก เพราะการทำงานจริงน่ะ เจ้านายคุณจะสั่งงานให้เวลานี้ แล้วต้องเสร็จวันนี้ด้วย งี้เด็กพวกนี้จะทำงานไหวเรอะ...แค่นี้ก็บ่นกันแล้ว...

โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วครับ พวกนี้ติดเรียนเกินไป เรียนสบายๆ ไม่เคยเจอแบบงานรัดตัวแบบไม่ทำมีโดนด่า หรือไล่ออกกันบ้าง จะได้รู้สำนึก ผมว่าจะไม่พูดๆ เรื่องการทำงาน แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่า เฮ้ยย ทำงี้ง่ายกว่าไหม คิดดู แบ่งงานกันเถียงกันเป็นชั่วโมงยังไม่ได้ข้อสรุปเล้ยยย...แก้ปัญหากันไม่เป็น...

นี่ก็เป็นสังคมของ ป.โท ที่นี่น่ะครับ งานตัวเองเสร็จไวจัง งานกลุ่มล่ะไม่ค่อยช่วยกัน...

สำหรับผมเองหลังสอบ ก็คงมีเวลาฟิตสอบภาษาอังกฤษของ ป.โท ให้ผ่านในเดือน พฤศจิกายนนี้ กะว่าจะขอสอบครั้งเดียวผ่าน ก็เลยต้องวางแผนหาเวลาที่ตัวเองน่าจะพร้อมให้ผ่านในทีเดียว...

ยังมีตัวเรียนเทอมหน้าที่ต้องมาคิดอีกว่าจะหนักไหม?...ก็คงต้องรอถามอาจารย์ที่ปรึกษา ว่าสุดแล้วแต่ว่าจารย์อยากให้เรียนตัวไหนเป็นพิเศษ ก็คงต้องไปเรียนตัวนั้น...

ตอนนี้ผมคงกะเกณฑ์การจบอยู่ที่ สองปีครึ่งล่ะครับ...ใจจริงอยากจะสองปี แต่ก็จะพยายามครับ ^^Y

Sunday, September 2, 2007

MV Start --- Depapepe เวอร์ชั่นเด็กไทย!!!



ไม่นึกว่าถ้าเล่นดูโอ้เพลงนี้ด้วยกันมันจะยากขนาดนี้ ขนาดสองคนนี้ผลัดกันดีดผลัดกันลี้ดในแต่ล่ะช่วง นิ้วยังไวมากๆ สงสัยคงจะฝึกไม่ได้ล่ะครับ ดูดีกว่าเนอะ...^^
ที่มา : http://www.chordtabs.in.th/webboard/viewtopic.php?t=2255

ส่วนอันนี้ของจริงครับ...

Monday, August 27, 2007

เมื่อ "สาวประเภทสอง" ต้องใช้คำนำหน้าว่า "นางสาว"

ไม่รู้ว่าข่าวนี้จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้นะครับเนี่ย แต่วันนี้เข้าไปอ่านข่าวทางเน็ตมา บอกได้คำเดียวว่าปวดเฮดมากๆ ครับ...

Image Hosted by Pic4Bit

อันที่จริง ผมไม่ได้เกลียดสาวประเภทสอง แต่เกลียดกลัวเกย์มากกว่าครับ ไม่รู้เคยเล่าให้ฟังรึยัง แต่จะเล่าให้ฟังใหม่ก็ได้ครับ...ดีที่ผมไม่ใช่สเปกเกย์ ก็เลยไม่มีเกย์มานัวเนีย เกิดพลาดพลั้งไป กลัว...กลัวต่อมสาวแตกกลายเป็นเกย์ไปอีกคน - -"

มีเพื่อนผมคนนึง หน้าตาไม่หล่อแต่เป็นนักกีฬา หุ่นงี้ดีพอสมควรมีกล้ามเนื้อกับเค้าพอให้หลงไหล ไอ้เราก็อยู่หอชายจะไม่ใส่เสื้อเดินเข้าออกห้องนั้นห้องนี่ มันก็ไม่มีปัญหา แต่กะเพื่อนผมคนนี้สิครับ มันเข้าไปคลอเคลียกับเพื่อนคนนี้ แบบประมาณว่าไปนั่งใกล้ๆ คุยเฮฮาไป เผลอมากอดจูบ ลูบคลำ เห็นแล้วเสียวแทนเลยครับ...ผมก็เห็นใจเพื่อนก็เลย ออกห้องกันล๊อกประตูให้เค้ามีความสุขกัน นี่ผมทำถูกแล้วใช่ไหมครับเนี่ย?

ดีที่หุ่นผมมันผอมๆ ไม่ถึงกับหุ่นนายแบบ แต่ก็หุ่นดีไม่เบาเลยล่ะนะ อิอิ...ไม่มีใครชมก็ชมตัวเองนี่แหละ

ส่วนกระเทยเนี่ย พอมีครับ อันนี้นี่หากคิดเกินเพื่อน ก็มีเสียวครับ ไม่ไหวๆ ไม่เล่าล่ะเพราะมันเกิดกะตัวผมเอง และก็พอจะสรุปได้ว่า "เกย์จะชอบผู้ชายหุ่นดี ส่วนกระเทยชอบผู้ชายหน้าตาดี"...อ้าวนี่ตูทั้งหน้าตาดีทั้งหุ่นดีเลยใช่ไหมเนี่ย อิอิ...

กลับมาที่ข่าวกันดีกว่านะครับ... ได้ยินว่า สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ไฟเขียวให้พวกเธอที่แปลงเพศแล้ว สามารถใช้คำนำหน้าว่า "นางสาว" ได้เหมือนสาวแท้ทั่วไป แล้ว o_O!!!

คราวนี้ได้ฮาแตกกันล่ะครับ..."นี่เธอๆ เราแต่งงานกันมา 5 ปีแล้วทำไม่ยังไม่มีลูกอีกล่ะ?" ฝ่ายชายถามด้วยความสงสัย ฝ่ายหญิงก็กระอักกระอ่วนไม่ยอมตอบว่าตัวเองแปลงเพศมา นี่ชั้นเป็นผู้ชายมาก่อนเหมือนกันน่ะ...จริงอยู่มันเป็นเรื่องตลก แต่หากเกิดขึ้นจริงๆ คงไม่ตลกนะครับ...

นึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้ตูสอบนี่หว่า ถึงจะแค่ 4% แต่มันก็ยังดีที่จะทิ้งคนอื่นในจุดทศนิยมมากขึ้นได้ แต่คราวนี้คงไม่หมูเพราะเค้ารู้แล้วว่าผมแอ๊บเก่ง คราวนี้คงต้องเต็มที่ล่ะครับ สู้ๆ นะ ^^Y

Sunday, August 26, 2007

เพลง beautiful girl --- Kim Ah Joong (Ost.200 pound)

ตอนนี้กำลังชอบเพลงนี้เอามากๆ นางเอกเรื่องนี้ร้องเพลงได้สดใส ประกอบกับ MV เพลงนี้ที่แสดงออกมาได้สนุกสนาน แถมหน้าตานางเอกก็น่ารักโคตรๆ อะไรจะขนาดนั้น...ก็เลยเอา MV มาลงให้ฟังครับ

สามารถเลือกฟังเพลง soundtrack แบบเป็นเพลงออนไลน์เพลงอื่นๆ ได้ที่นี่ครับ ---> http://mms.hunsa.com/mms.php?py=album&id=1517

อันนี้ MV เพลงนี้ครับ ที่มา ---> http://www.dektube.com/viewVideo.php?video_id=907&title=KIM_AH_JOONG_AND_JOO_JIN_MO&vpkey=


Beautiful Girl Lyrics (Teaser Edit -200 Pounds Beauty OST)
Singer: Kim Ah Jung??? / Romanization by Kreah

You’re my beautiful girl
Beautiful girl
Kudae-nun arumda-un naye beautiful
na-neun nomu ippo nan cham sek-shi-hae
mimo-neun naye mugi
I’m a beautiful girl
ta na-reul bomyon mududul ssurojine
nanun beautiful girl
shin-sasonyo yorobonminyoron sogae-hamnida
olgurun marhal got optgo

mommae-do chongmal hwansang-i-ji-yo
hello hello
na-neun nomu ippo nan cham sek-shi-hae
mimo-neun naye mugi
I’m a beautiful girl
ta na-reul bomyon mududul ssurojine
nanun beautiful girl
nanun beautiful girl
nanun beautiful girl
nanun beautiful girl

MV อีกหนึ่งเวอร์ชั่นครับ...^^ ที่มา ---> http://www.girlyclip.net/playclip.php?clipID=1110&catID=14




ใครเน็ตเต่าจะฟังเฉพาะเพลงก็ได้นะครับผม...^^

หมดเวรกันซักที...ตู้รองเท้า

วันนี้ผมจัดการสะสางเรื่องตู้รองเท้าเสร็จซักทีครับ เหนื่อยตั้งกะเมื่อวานที่ต้องไปเอง เลขาห้องผมเบี้ยวไม่ยอมไปด้วยกัน ให้ผมจัดการเองทั้งหมด โดยให้เงินห้องมา(แล้วจะมีเลขาห้องทำไม ฟ่ะ ตูทำคนเดียวก็ได้นี่หว่า สรุปนี่มันงานตูจริงๆ นะ ไม่ใช่งานของห้อง) ผมก็ไปซื้อไว้ตั้งกะเมื่อวาน ว่าวันนี้จะไปประกอบ...

ตอนนี้ก็ประกอบเสร็จแล้วครับใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง กับคนประมาณ 4 คน (ที่ผมไม่ได้ขอให้ช่วย) ตอนแรกผมทำคนเดียว เพราะผมรู้แล้วว่า...นี่ตูต้องทำคนเดียว เพราะเป็นงานที่จารย์ให้ผมทำ ผมก็ดูๆ แล้วสรุปคือ ทำได้ทำไปเลย...แต่แล้วก็มีรุ่นพี่คนนึงมาช่วยทำก็เบาแรงได้ไปนิดนึงล่ะ...

ใกล้จะเสร็จล่ะ ก็มีรุ่นพี่ ป.โท มาสมทบอีกงานก็เสร็จเร็วขึ้นน่ะครับ...จริงๆ ผมอยากบ่นแต่มันเหนื่อยเหลือเกินนะครับเนี่ย สุดท้ายก็เอาไปวางหน้าห้องก่อน เพราะผมน่ะกะว่า อยากให้วางหน้าห้องก่อน แต่...มันก็มีเสียงผีที่ไหนไม่รู้ แว่วๆ มาว่า "วางไว้ข้างนอกมันจะเกะกะคนอื่นเค้านะ" ผมนี่เชื่อแล้วว่า ภาคนี้มันสิทธิส่วนบุคคลสูงกันจริงๆ...

ผมมาคิดดูล่ะว่าควรจะวางไว้ข้างนอกก่อนเพื่อสร้างลักษณะนิสัยใหม่ๆ ที่ต้องเปลี่ยนรองเท้าก่อนเข้าห้องแลปนะ ถ้าตอนแรกเอามาไว้ในห้องคนที่ไม่รู้ ไม่เห็น ก็เข้ามาไม่เห็นตู้รองเท้าเข้าอีก มันก็จะเปื้อนอีก (ตู้มันแอบตรงประตู คนเข้ามาไม่เห็น แต่คนจะออกห้องจะเห็น - -") ผมก็กะจะวางไว้ข้างนอกให้ทุกคนรับรู้นะ ว่ากฎห้องเราเปลี่ยนแล้ว ต้องเปลี่ยนรองเท้าก่อนเข้าห้อง ซักเดือนนึง คนรู้กันแล้ว จึงเอามาไว้ข้างใน...แต่ผมจะเงียบๆ ไว้ก่อน แล้วก็ให้วางข้างในน่ะแหละ ดูซิว่าจะจัดการกันยังไง? อิอิ

แต่ผมคาดไว้แล้วล่ะ ว่าต้องมีคนเอาไปข้างใน...และมันก็จะออกมาอีหรอบเดิม คือ มีตู้รองเท้าไว้โชว์อีกน่ะแหละ แต่มันหมดหน้าที่ของผมแล้ว (จริงๆ อาจารย์ให้จัดวางตู้ด้วย แต่ผมน่ะจะดู "คน" ก่อนนะ)แล้วผมจะดูว่าวันจันทร์นี้มันจะเป็นยังไง คงสนุกน่าดูเลยล่ะ...

พอเห็นคนในแลป ผมก็ถอนหายใจดัง เฮื้อกกก ใหญ่ๆ ออกมาเลยล่ะครับ...บอกไม่ถูกแต่คงพอเข้าใจ แต่สิ่งที่ผมแน่ใจแล้วก็คือ เรียนสูงๆ เนี่ย ทำงานคนเดียวกันเก่งจัง แต่ล่ะคนอีโก้สูงกันทั้งนั้น (รวมผมด้วย) ก็คงต้องสงบปากสงบคำก่อนครับ เพราะผมถือว่า "นี่คือเกมที่เราต้องเล่นกันหลายรอบ การใช้ความก้าวร้าวย่อมไม่เป็นผลดี" สรุปรอผมจบก่อน เจอกัล ...อิอิ

Saturday, August 25, 2007

200 pounds beauty

Image Hosted by Pic4Bit

200 Pound Beauty หนังโรแมนติก คอมเมดี้สัญชาติเกาหลี นำแสดงโดย คิมอาจุง ทะยานขึ้นสู่ท้อป 10 ของชาร์ตหนังทำเงินเกาหลีตลาดกาล หลังจากเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ได้เพียง 42 วันเท่านั้นขณะนี้ 200 Pounds Beauty ได้ทำเงินไปแล้วมากกว่า 15,000 ล้านวอน (600 ล้านบาท) ซึ่งยังไม่ได้หักเงินในส่วนของนักลงทุนไป ทำให้บริษัทผู้ผลิตจะสามารถรับเงินไปเต็มๆอย่างน้อย 5000 ล้านวอน (200 ล้านบาท) และถ้าหากนับรวมแผ่นเพลงประกอบภาพยนตร์ซึ่งจำหน่ายได ้ประมาณ 2000 ล้านวอน (ผ่านทางระบบออนไลน์) ซึ่งจะทำให้รายได้รวมทั้งหมดทะลุ 7000 ล้านวอนกันเลยทีเดียว

200 Pounds Beauty เป็นผลงานการกำกับเรื่องที่ 2 ของ คิม ยองฮวา เจ้าของหนังตลกที่มีคนดูถึง 3.1 ล้านคนอย่าง Oh! Brother ซึ่งคราวนี้เขาหันมาสร้างหนังที่ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนขายดีของญี่ปุ่นชื่อเดียวกันที่วาดโดย ยูมิโกะ ซูซูกิ (มีจำหน่ายในบ้านเราในชื่อ "คันนะซัง คนจะสวยช่วยไม่ได้") ซึ่งมียอดจำหน่ายถึง 300,000 เล่ม โดยฉบับหนังเกาหลีจะต่างไปจากการ์ตูนพอสมควร

สำหรับเรื่อง 200 Pounds Beauty นั้น คิม อา จุง รับบทเป็น คัง ฮาน-นา สาวตุ้ยนุ้ยที่ไม่มีความสวยเอาเสียเลย แม้เธอจะอ้วนและไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ แต่มีเสียงร้องเพลงอันไพเราะเท่านั้น ทำให้คังต้องกลายเป็นนักร้องเงาอยู่หลังเวทีคอยร้องเพลงให้กับนักร้องคนอื่นที่มีหน้าตาสวยงามอย่างเดียวแต่ไร้ความสามารถ คังไม่ได้ทำงานที่นี่แห่งเดียว เธอยังรับงานพิเศษเกี่ยวกับเซ็กซ์โฟนเพื่อที่จะหาเงิ นไปรักษาพ่อที่พิการและป่วยทางจิต คังมีปัญหากับ ฮาน ซัง-จุน โปร ดิวเซอร์เพลง และเธอก็ไม่สามารถดึงดูดใจเขาได้ เพราะรูปร่างหน้าตาที่ไม่สวย วันหนึ่งคังบังเอิญได้ยินฮานพูดนินทาเกี่ยวกับรูปลัก ษณ์ของเธอให้นักร้องอีกคนฟัง ทำให้คังหัวใจสลาย ตัดสินใจเข้ารับการทำศัลยกรรมพลาสติกตั้งแต่ศีรษะจรด เท้าก่อนผันตัวเอง กลายเป็นดาวด้วยการเปลี่ยนชื่อเป็น "เจนนี" อย่างไรก็ตามในการแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรก คังได้ยอมสารภาพทุกอย่าง รวมทั้งความจริงที่ว่า เธอไม่ใช่เจนนี แต่เป็นคัง ทำให้ในที่สุด คัง ฮาน-นา ก็ได้รับความรักจากฮาน โปรดิวเซอร์เพลง จะว่าไปแล้ว 200 Pounds Beauty เป็นเรื่องราวในแบบซิน เดอเรลลา ที่สุดท้ายก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง พระเอกนางเอกครองรักกันอย่างมีความสุข

คิม อา จุง บอกเล่าว่า เธอประทับใจเรื่องนี้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะฉากคอนเสิร์ต เธอไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ เพราะสงสารและเห็นใจนางเอกของเรื่อง ถึงแม้ 200 Pounds Beauty ดูเหมือนเป็นหนังยุคเก่า แต่เธอคิดว่า

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาดี แม้นักวิจารณ์บางคนมองว่ายังไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดี ที่สุดก็ตาม ภาพยนตร์แนวตลกบางเรื่องพยายามเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชม แต่สำหรับ 200 Pounds Beauty เน้นไปที่ความรักของคังกับฮานเป็นหลัก และภาพยนตร์นี้เป็นเรื่องประโลมโลกมากกว่าแนวตลกที่สำคัญ 200 Pounds Beauty ยังให้แง่คิดว่า ผู้หญิงที่ถูกใช้แล้วและไม่ได้รับ การเหลียวแล ก็เหมือนเป็นสินค้าที่ใช้แล้วทิ้งในวัฒนธรรมทุนนิยม เช่นเดียวกับนักร้องที่ ไร้ความสวยงามก็ไม่อาจขึ้นเวทีได้ แต่ความสวยงามเหล่านี้จะไม่จีรังยั่งยืนเมื่อกระแสความนิยมจางหายไป...

หนังดีอีกหนึ่งเรื่องซึ่งผมได้ดูเมื่อวานนี่เอง สนุกมากครับ ลุ้นไปตลอดว่าจะเป็นเหมือนที่เราคิดไว้ไหม นางเอกดูน่ารักใสๆ ดีมาก ดูแล้วเนี่ยอยากเกิดเป็นผู้หญิงเลยล่ะ แต่ต้องเกิดมาสวยด้วยนะ เหมือนกับคำพูดนึงที่ว่า "ความสุขของผู้หญิง ก็คือความสวย" ถ้าสวยนี่ยังไงก็ทำให้โลกสดใสได้สบายๆ ไม่เหมือนผู้ชายหล่อๆ ที่มันก็แค่หล่อเท่านั้นเอง(ถ้าชอบผู้ชายก็คงแปลกเพราะผมไม่ใช่เกย์นี่นะ - -") สู้สาวสวยๆ ไม่ได้เลยล่ะ...

Rating 8.5/10 <----- อันนี้เรตติ้งตามความคิดของผมนะครับ^^

Wednesday, August 22, 2007

เริ่มฝึกนิ้วกันเถอะ!!!

งงใช่ไหมครับ ว่าคราวนี้มาแนวไหนอีกล่ะนี่? ที่บอกว่าฝึกนิ้วเนี่ยก็คือ ฝึกนิ้วไว้สำหรับเล่นโน้ต หรือเล่น แทป ของกีต้าร์ครับ เมื่อวานผมเข้าไปดูเวปคอร์ดเพลงออนไลน์ตามปกติ แต่คราวนี้เหลือบไปเห็น เวปมาสเตอร์สอนเล่นโน้ตกีต้าร์แล้ว!!! สวรรค์มาโปรดจริงๆ ในที่สุดก็จะได้หัดเล่นโน้ตจริงๆ จังล่ะ...

เวปไซต์ที่สอนนี่เลยครับ ---> http://www.chordtabs.in.th/home.php

เข้าไปดูในส่วนของ Lesson ครับ...

อย่างที่เคยบอกว่าผมมีกีต้าร์หลังเต่าตัวนึง แต่มันก็ไม่ค่อยดีสมกับราคาในความคิดของผมนะ แต่มันก็ไม่ใช่ของผมน่ะ ก็เลยไม่ซีเรียส ปัญหาคือ สายมันสูงกว่าบาร์มาก ทำให้กดลำบาก กดเจ็บนิ้วกว่าเดิม รวมทั้งเวลาเปลี่ยนคอร์ดในๆ สายที่สูงๆ ของมันจะไปเกี่ยวกับนิ้วเข้าอีก...ก็ไม่รู้จะแก้ยังไงเหมือนกันครับ...

ผมเริ่มอยากได้กีต้าร์อะคูสสติกมาหัดเล่นโน้ตแล้วซิ เคยมีตัวนึงแต่ให้เพื่อนไปแล้วเนื่องจากตอนซื้อแชร์กันออกครึ่งๆ อีกอย่างเล่นเพลงธรรมดาๆ กีต้าร์แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ กีต้าร์โฟล์คโปร่งๆ เหมาะกว่า แต่ตอนนี้อยากได้ไว้หัดกดโน้ตจริงๆ...

เวลาเล่นโน้ตสิ่งสำคัญก็คือนิ้วครับ และเป็นนิ้วมือซ้ายที่หลายๆ คนไม่ถนัดด้วย ผมจึงต้องมาเริ่มฝึกให้นิ้วมันคล่อง นอกจากจะเล่นโน้ตเล่นแทปได้แล้ว ยังทำให้จับคอร์ดเปลี่ยนคอร์ดได้ดีกว่าเดิมซ่ะอีกนะ...เวปมาสเตอร์เค้าก็ให้ไปฝึกดังนี้ครับ...

อย่างแรก...อันนี้ยากมาก ให้ฝึกแยกประสาท ให้นิ้วกลางกะนิ้วก้อยเคลื่อนที่ไปพร้อมๆ กันได้ ในขณะที่นิ้วชี้กะนิ้วนางก็ไปพร้อมๆ กันได้ ยากมากครับ ตอนนี้ได้ทีละนิ้วอยู่เลย -"-

อันที่สอง... ฝึกไล่เฟร็ต หรือไล่สายจากบนลงล่าง มีวิธีการไล่ได้ถึง 24 แบบ!!! เอาแค่แบบแรกให้คล่องก่อนดีกว่าเนอะ แต่ดีที่ว่าการฝึกแบบนี้เพื่อนผมเคยให้ลองไปหัดดูบ้าง เลยไม่ยากเท่าไหร่ แต่ที่ยากคือทำให้มันต่อเนื่องนี่ล่ะ อย่างว่า กีต้าร์ผมสายมันสูงเกิน เลื่อนลำบากอิ๊บบ...

อย่างที่สาม...ฝึกความแข็งแรงของนิ้ว ปกตินิ้วชี้ของเราก็กดได้แรงอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือนิ้วกลาง นาง ก้อยนี่ล่ะ โดยเฉพาะนิ้วกลางของผม มันหักกลาง!!! ทำให้เวลาจับคอร์ดโดยเฉพาะคอร์ด G จะแป๊กบ่อยๆ ทู้กทีเลยยย วิธีฝึกก็ให้กดนิ้วชี้ค้างไว้ที่สาย 1 บาร์ 5 แล้วก็พลัดกันใช้นิ้วอีกสามนิ้วที่เหลือกดแรงๆ ไปตามบาร์ต่างๆ ให้เกิดเสียงโดยไม่ต้องดีด จะทำให้แต่ล่ะนิ้วเรามีแรงพอที่จะกดแล้วไม่ทำให้บอดครับ อันนี้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่ที่แอดวานซ์ก็คือ กดแบบไล่นิ้วไปด้วยนี่ล่ะ จะฝืนๆ นิดๆ

สงสัยคงต้องฝึกต่อไปอีกซักพัก เพราะตอนนี้ยังตั้งสายไม่ได้เล้ยยย ฟังเสียงไม่ออกจริงๆ ตอนนี้ก็ขอให้เพื่อนว่างๆ ช่วยมาตั้งให้หน่อย หรือว่าจะลงทุนซื้อซ้อมเสียง มาตั้งสายดีนะ? ตอนนี้ก็ฝึกยังงี้ไปก่อนแล้วกันนะครับ^^ พอคล่องแล้วค่อยมาจำโน้ตแต่ล่ะสายแต่ล่ะบาร์แล้วกันครับ...

Tuesday, August 21, 2007

เพลง รักไม่จำกัดนิยาม --- Ost.Unlimited Love (Female Ver.)


เพลงหนึ่งในอัลบั้ม In Motions (อินโมชั่น) “อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์จากแรงบันดาลใจที่ฟังเพราะทั้งอัลบั้ม” และนี่คือคำโปรยบนปกอัลบั้มที่เกิดจากแนวความคิดที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างของงานชุดนี้เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจที่ได้จากภาพยนตร์เกาหลี 6 เรื่อง และภาพยนตร์ไทยอีก 1 เรื่อง ผนวกกับความตั้งใจของศิลปินทั้งมืออาชีพ และ มือสมัครเล่น ซึ่งสามารถถ่ายทอดเนื้อหา อารมณ์ เรื่องราว ผ่านบทเพลงที่เรียบเรียงและแต่งขึ้นมาใหม่ ได้อย่างสมบูรณ์ ไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเป็น “อ็อฟ” ฐาปนา เดชะปัญญา อดีตนักจัดรายการวิทยุ และ ผู้บริหารบริษัทโฆษณา ที่เคยฝากผลงานเบื้องหน้าไว้กับเพลงประกอบภาพยนตร์ กองร้อย 501 / “มูซู” บัณฑิต แซ่โง้ว นักร้องผู้มีน้ำเสียเป็นเอกลักษณ์ เจ้าของบทเพลงรักโรแมนติกอย่าง ไม่เคย, ครึ่งหนึ่ง / “แมน” แมนสรวง สุรางครัตน์ นักแต่งเพลงจากค่ายเพลงชื่อดัง ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินมากหน้า / “ดีเจ.พีเค” ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร หนุ่มฮอตผิวเข้ม ที่มีความสามารถรอบด้าน ทั้งการแสดง พิธีกร และร้องเพลง / “กานต์” ณัฏฐกานต์ ธรรมสุนทร นักร้องสาวเสียงดี ที่เคยผ่านงานเพลงโฆษณา ดีเจ และผู้ประกาศ / “โอ๊ต” ปราโมทย์ ปาทาน เด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง ที่คว้ารางวัลมาแล้วทั้งไทย และต่างประเทศ / “หมิง” ชามิสา สมทอง สาวน้อยวัย 20 ปี ที่มีแววอนาคตไกลกับความสามารถและประสบการณ์ด้านการร้องเพลง ตามร้านอาหารชื่อดังย่านกรุงเทพฯ

หากคุณเป็นหนึ่งในผู้คลั่งไคล้ภาพยนตร์เกาหลี อย่าง Sad Movie / Running Boy / The Art of Seducyion / Love Phobia / Arang /a Millionaire’s First Love และ Unlimited Love (รักไม่จำกัดนิยาม) ก็น่าจะลองหาอัลบั้ม ที่จะทำให้คุณได้อิ่มเอม อิน ไปกับเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น น่าจะดีไม่น้อย...

ตอนนี้ผมหาได้แค่เพลง "รักไม่จำกัดนิยาม" เวอร์ชั่นผู้หญิงร้องมาลงได้แค่นั้นเอง จริงๆ แล้วอยากได้เวอร์ชั่นที่ผู้ชายร้องมากกว่า เพลงเพราะและความหมายดีมากๆ ซึ่งร้องโดย ปราโมทย์ ปาทาน ...

"คำว่ารักชั้นหมายถึงเพียงแค่เธอผู้เดียว แค่เธอคำเดียวก็เกินคำพูดใด นี่คือนิยาม มาจากหัวใจ ไม่มีแล้วคำใด...ที่ดีเท่าเธอ" สำหรับผม คำว่ารักของผมก็คงจะหมายถึงแบบนี้ ไม่ใช่คือความรู้สึกดีๆ ที่มอบให้กัน ไม่ใช่การให้อภัย แต่...คือ เธอ คนเดียว ถ้าขาดเธอไป ผมก็คงเหมือนขาดความรักไปนั่นเอง เน่าชะมัด^^

Monday, August 20, 2007

ผ่านฉิวเฉียด ร่างฯ ปี 50!!!

จริงๆ มันก็ไม่ฉิวเฉียดนะครับ ผลลงประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ชนะโหวต 58% ต่อ 41% กะเป็นตัวเลขหยาบๆ ก็ 60-40 ก็เป็นไปตามที่โพลสำนักต่างๆ คาดกันไว้...ส่วนผมเองน่ะก็รู้อยู่แล้วว่าต้องผ่าน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะผ่านแค่ไหน...

ก็คงต้องยอมรับครับ สำหรับผลลงประชามติ เพราะ คมช.เค้าน่ะ ต้องการพลังบริสุทธิ์ของประชาชนมาทำให้สิ่งที่ไม่ชอบธรรมกลายเป็นสิ่งที่ชอบธรรม!!! มีที่ไหนครับทำเสร็จแล้วแล้วให้มาลงประชามติ ร่างฯ ที่ทำกันมาหลายเดือน อ้อนประชาชนใหญ่เลยว่า รับๆ ไว้เถอะคนเค้าตั้งใจทำกันจริงๆ ทำกันมาตั้งนาน ว่าไปนั่น...

บวกกับการออกมาโฆษณาเองของท่านนายกฯ สุรยุทธ์ ออกมาเรียกเรตติ้งได้พอสมควรทีเดียว ในขณะที่ฝ่ายโนโหวต จะออกมาพูดก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ...ยังงี้จะไม่ให้ชนะได้ไงครับ จำได้ไหมว่ามีกรณีการให้ประชาชนลงประชามติในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป เรื่องรัฐธรรมนูญ EU ว่าจะใช้รัฐธรรมนูญของ EU แทนรัฐธรรมนูญของประเทศตนดีหรือไม่? ผลปรากฎว่ามี 2 ประเทศผลออกมาว่าไม่รับ ซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วว่าประเทศอะไรบ้าง พอผลออกมา ถึงจะเอาผลของประชาชนเอาไปพูดในสภา EU...แต่นี่ร่างเสร็จแล้ว แล้วมาให้ลง ต้องเสียเงินทองไปมากขนาดไหน กับสิ่งที่เป็นความต้องการของพวกเค้าเอง ไม่ใช่ความต้องการของประชาชน...

ถามหน่อยว่า ประเทศเราพร้อมแล้วรึยังกับการที่จะใช้ระบบลงประชามติ เท่าๆ ที่ดู คนไทยเราลงคะแนนตามพรรคการเมือง เค้าว่ายังไงก็ว่าตามนั้น พรรคบอกให้รับก็รับบบกันไป แทนที่จะมาพิจารณาว่าร่างฯ นี้มันจะดีไม่ดียังไง...

อีกอย่างคือ คมช. รัฐบาล เค้าไม่ได้กำหนดนี่ว่าเท่าไหร่ถึงจะยอมรับ เท่าไหร่จะผ่าน ก็ถือเกณฑ์ 50 ก็แล้วกัน ถูกแล้วหรือครับ? ตามหลักควรจะเอามากกว่า 60 ด้วยซ้ำกับของสำคัญแบบนี้ ผมพูดได้เลยว่า นี่มันอุบาทชัดๆ ร่างฯ นี้ต้องนำไปใช้ต่อไปแต่กลับไม่มีพลังในการยอมรับที่มากพอจริงๆ...

ในตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าประเทศชาติของเราจะดำเนินต่อไปด้วยความสงบ มีการเลือกตั้งใหม่ มีการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มันดี คนไม่ตกงาน เอกชนไม่เจ๊งกันซักที!! ไม่ใช่มาดีแต่แย่งชิงอำนาจกันอย่างทุกวันนี้...

Friday, August 17, 2007

ร่างฯ ปี 50 ว่าด้วยมาตราที่ 309...

ใกล้แล้วนะครับ อีกแค่วันเดียวเท่านั้นถ้าไม่นับวันนี้ก็จะถึงวันที่เราๆ ท่านๆ ผู้มีสิทธิ์จะใช้สิทธิ์ลงประชามติในการรับร่างฯ หรือไม่รับร่างฯ ปี 50 นี้...

วันนี้ที่มหาวิทยาลัยของผมมีการเสวนาของฝ่าย "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งผมก็บังเอิญผ่านมาเจอะพอดี มาทันได้ฟังคุณจาตุรนต์ ฉายแสง กะลังเสวนาอยู่พอดี ยอมรับว่าหลังจากได้ฟังแล้ว มีหลายๆ ประเด็นที่ตรงใจผมเหมือนกันว่า เออ...ก็พูดดีนะ ไม่ได้บอกว่าต้องการทักกี้อย่าง นปก. พูดแค่ว่า ร่างฯ นี้ไม่ดีอย่างไร?

ผมเจออาจารย์ของผมที่นี่พอดี พูดๆ คุยกันไปมองไปรอบๆ ด้าน ก็เห็นว่า อาจารย์มหาลัยที่สนใจก็มีเยอะเหมือนกัน แถมตำรวจก็สนใจด้วย!!! ผมกะว่า อาจจะมีอะไรรุนแรง แต่น่าเสียดายที่มันไม่มี...เที่ยงกว่า ผมรอดูทั่นจาตุรนต์ ลงมาพอดีก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี แถมไม่มีการ์ดติดตามด้วย สุดท้ายพลพรรคเสื้อแดงก็ชูป้าย "ไม่รับร่างฯ" เป็นการส่งท้ายก่อนจากไป รณรงค์ที่อื่นต่อไป...

ในระหว่างการเสวนา หรือตามสื่อมักพูดกันมากในเรื่องมาตราที่ 309 ผมเองก็สงสัยว่า มาตรานี้มันยังไงนะก็เลยไปอ่านๆ ดู มีเนื้อหาดังนี้ครับ...

"บรรดาการใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้"

ถ้าเอาแค่ความรู้ของผมที่ไม่ได้รู้เรื่องกฎหมายมากนัก มันก็หมายถึง "การนิรโทษกรรมตนเองของ คมช." นี่เอง...

แต่ก็ไม่แน่ว่ามันจะมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ที่ คมช. เองอยากให้ร่างฯ นี้ผ่านหนักหนา ถ้าไม่ยกประเด็นเรื่องที่ว่า ถ้าผ่าน ก็หมายถึงการรับรองความชอบธรรมของ คมช. ในการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยา 49...มีหลายๆ ท่านได้วิจารณ์ไว้ครับ...แต่เขียนกันงงสมกับเป็นภาษากฏหมายจริงๆ ครับ - -"

อันนี้เป็นตัวอย่างนึงที่ผมไปหามาอ่านแต่ไม่เข้าใจจากอาจารย์ ม.ธ. ครับ ลองไปอ่านๆ ดู :
http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=9141&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai

ผมเองก็ไม่รู้ว่าผลมันจะออกมายังไง นอกจากเข้าใจว่าเป็นการนิรโทษกรรมตนเอง แต่สำหรับตอนนี้ผมง่วงจะแย่อยู่แล้ว คิดอะไรไม่ออกแล้ว คงต้องขอตัวไปนอนก่อนล่ะครับ ^^...

Thursday, August 16, 2007

"แฟนพันธุ์แท้การเมืองไทย" ชำแหละร่างรัฐธรรมนูญ 2550


วันนี้ก็ขอที่จะยกข้อคิดเห็นของคุณ ทศพล เชี่ยวชาญประพันธ์ นิสิตชั้นปีที่ 4 ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ พ.ศ.2549 และแฟนพันธุ์แท้การเมืองไทย พ.ศ.2546 กับเอกสาร ‘ชำแหละร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550’ มาให้อ่านกันบ้างเล็กๆ น้อยเพราะผมอ่านแล้ว ตรงกับความคิดของผมในหลายๆ ประเด็น รวมทั้งยังเป็นผู้ที่มีความรู้ ซึ่งจะสามารถตีแผ่เรื่องราวได้ดีกว่าผมมาก...

ยังไงก็ขออนุญาตเอาข้อความของคุณ ทศพล เชี่ยวชาญประพันธ์ มาลงไว้ในที่นี้เป็นวิทยาทานด้วยนะครับ...ประเด็นที่ว่ามีดังนี้ครับ...

1.“รับๆ ไปก่อน” ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราอยากให้รับร่างนี้กันจังเพราะอะไร? อย่าไปหลงเชื่อคำโฆษณาในลักษณะนี้ เพราะถ้าเราทุกคนไปลงมติรับโดยคิดแต่เพียงว่า “รับๆ ไปก่อน” ตามที่ ผู้มีอำนาจในขณะนี้ต้องการ จะส่งผลให้คะแนนเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ในระดับที่สูงมาก เช่น เห็นชอบถึงร้อยละ 90 ไม่เห็นชอบเพียงร้อยละ 10 ในอนาคตใครก็ตามริเริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะถูกตั้งคำถามทันทีว่า มีความชอบธรรมอะไรที่จะไปแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ในที่สุด จะไม่มีใครกล้าแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอนทั้งๆ ที่เห็นปัญหาและข้อบกพร่องมากมายที่จำเป็นต้องแก้ไข ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประเทศในระยะยาว

เคยเจอคนกลับคำ หรือแกล้งทำลืมไหมครับ คนที่เคยโดนคงทราบว่า หากรับไปก่อน เขาจะไม่มาแก้ก็ได้

2."การดึงตุลาการมาเกี่ยวข้อง" การที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดึงศาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยไม่จำเป็นจะเป็นการทำลายสถาบันตุลาการในระยะยาว แล้วในอนาคต ประเทศไทยจะไม่เหลือสถาบันใดที่จะเข้ามาแก้ไขวิกฤติการณ์ทางการเมืองได้อีก ในอนาคต

สำหรับผมศาลก็เหมือนตาชั่งครับ ที่คอยถ่วงดุลอำนาจบริหาร และนิติบัญญัติโดยที่ตาชั่งน่ะจะต้องอยู่นิ่งเพื่อที่จะคอยถ่วงดุลข้างๆ ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม

3.“อำมาตยาธิปไตย” ร่างรัฐธรรมนูญยังมีการหมกเม็ดเอื้อผลประโยชน์ให้แก่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญเอง สร้างความแตกแยกครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดขึ้นในประเทศ ปลุกพลังของ “อำมาตยาธิปไตย” ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และยังมีข้อบกพร่องอื่นๆ อีกมากมายดังจะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไป สรุปง่ายๆ ก็คือ สถาบันทางการเมืองในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกทำลายลงจนสูญเสียความแข็งแกร่งและความสมดุลไปจนหมดสิ้น

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวในสังคมไทยครับ ไม่ต้องดูไกลมาก ลูกนักการเมือง คนรวยฆ่าคนตายไม่มีติดคุกซักคนต่อไป คนจนตาดำๆ จะทำยังไงครับ...

4."บทบัญญัติบางมาตราที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน" ในร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่เรากำลังจะต้องออกเสียงประชามตินี้ แม้ว่าจะเพิ่มสิทธิเสรีภาพของประชาชนในหลายๆ ด้าน แต่ก็ไม่ได้มากมายมหาศาลตามที่ได้โฆษณาชวนเชื่อกันในช่วงเวลาที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้าม กลับมีบทบัญญัติบางมาตราที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างชัดเจนแต่ไม่เคยมีใครหยิบยกมานำเสนอ อีกทั้ง สิทธิเสรีภาพบางเรื่องที่เพิ่มขึ้นก็มิได้แก้ไขปัญหาที่เคยเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

ร่างเสร็จปุ้บก็ให้เวลาเพียง 19 วันที่จะให้ประชาชนลงประชามติ กฏหมายสำคัญของบ้านเมืองแบบนี้ต้องมีอะไรหมกเม็ดแน่นอน ยังไงผมก็กล้าพูดได้ว่า"อันตราย" แน่นอนสำหรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และไม่มีเหตุผลที่จำเป็นต้องฉีกรัฐธรรมนนูญ 40 ทิ้ง...

แต่ผมเองก็ไม่ได้เห็นด้วยทุกประเด็นนะครับ อย่างเช่น การกำหนดวุฒิขั้นต่ำในการเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. ผมเห็นด้วยที่ต้องมีการกำหนดวุฒิขั้นต่ำปริญญาตรี หรือ การกำหนดวาระของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ควรจะดำรงตำแหน่งนายกฯ อย่างยาวนาน น่าจะซัก 2 สมัยก็น่าจะพอ เพื่อไม่ให้สร้างฐานอำนาจทางการเมือง และเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มาพัฒนาประเทศตามยุคสมัย เป็นต้น ก็มีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี แต่อย่างน้อยมันแสดงให้เห็นถึงกึ๋นของผู้ทำคนนี้ได้เป็นอย่างดีครับ...

สุดท้ายผมคงจะยกบทความทั้งหมดมาไว้ที่นี่ไม่ได้นะครับ ยังไงหากมีเวลาก็สามารถจะไปอ่านเหตุผลกันก่อนได้ที่นี่ครับ :

http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=9206&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai
คิดก่อนไปลงประชามติ 19 สิงหานี้นะครับ^^

Wednesday, August 15, 2007

Caravaggio and Chiaroscuro...

จะว่าไปแล้วศิลปินในยุคเรอเนอซองค์ ผมเองก็ชื่นชอบหลายคนเหมือนกันนะ อย่างเช่น ลีโอนาร์โด้ ดา วินชี่(Leonardo da Vinci)อันนี้ชอบสไตล์ที่แกแนวๆ และชอบชูนิ้วชี้อยู่เรื่อยเชียว มิเกลันเจโล (Michelangelo) เองก็เป็นศิลปินอัจฉริยะ ที่ผมว่า ซักครั้งในชีวิตอยากไปดูรูปแกะสลัก "ปิเอต้า" อันเลี่ยงชื่อในความงดงามให้ได้ซักครั้งเหมือนกัน

ซึ่งศิลปินแต่ล่ะคนที่เป็นอัจฉริยะมักจะเป็นผู้ที่บุกเบิกศิลปะแนวใหม่ หรือแนวเก่าก็แล้วแต่ให้มีความสวยงามมากขึ้น อย่าง ลีโอนาร์โด้ นี่ก็มีเทคนิคการวาดที่เรียกว่า "เฟรสโก้" หรือ ศิลปะการวาดภาพปูนเปียก อย่างที่เห็นได้จากภาพที่ผนังโบสถ์ที่ชื่อ "อาหารมื้อสุดท้าย" (The last supper) อันเลื่องชื่อน่ะแหละครับ...

แต่ว่านี้ผมได้อ่านเรื่องของคาราวัจโจ ศิลปินในยุคเรอเนอซองค์ตอนปลาย ที่เป็นอัจฉริยะไม่แพ้ 2 คนที่ผมชื่นชอบกับเทคนิคที่เรียกว่า "ไคอโรสคูโร" (Chiaroscuro) ซึ่งเป็นเทคนิควาดภาพที่เน้นให้แสงเงาตัดกันได้อย่างชัดเจน ทำให้ภาพเขียนของเขา คมชัดและมีชีวิตชีวาอย่างมาก...

คาราวัจโจ มีชื่อเท่ๆ อย่างเป็นทางการว่า "มิเกลันเจโล เมอริซี่ ดา คาราวัจโจ" (Michelangelo Merisi da Caravaggio) หรือ "มิเกลันเจโล เมอริซี่ แห่งเมือง คาราวัจโจ" นั่นเองครับ...

โฉมหน้าภาพเหมือนของคาราวัจโจ...

น่าเสียดายที่ศิลปินท่านนี้ค่อนข้างมีอารมณ์รุนแรง เป็นจิตรกรฆ่าคนในยุคนู้น และต้องตายด้วยอายุเพียง 36 ปี แต่ก็ทิ้งผลงานเลื่องชื่อไว้มากมาย เช่น...

"ภาพเสียงเพรียกของนักบุญแมทธิว" (The calling of St.Matthew)
สังเกตภาพมีแสงเงาตัดกันอย่างชัดเลยครับ สวยมาก...

"ภาพความแคลงใจของนักบุญแมทธิว" (The doubt of St.Matthew)
ภาพนี้ได้รับการวิจารณ์อย่างรุนแรงว่า ทำไมนักบุญถึงแต่งกายซอมซ่อ แถมยังดูไม่สง่างามอย่างนักบุญอีก
เพราะคาราวัจโจ เอาภาพกรรมกรมาเป็นแบบครับ แต่ก็มีคนชอบนะครับ...

อันนี้ภาพสุดท้ายล่ะครับ "ภาพการรับเชื่อของนักบุญปอล" (The conversion of St.Paul)
ภาพนี้เป็นภาพที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งการให้แสงแบบไคอโรสคูโรเลยล่ะครับ (เค้าว่ายังงั้นนะครับ)...

จริงๆ คาราวัจโจได้เขียนภาพไว้อีกมากมายเลยนะครับ แต่ผมต้องรีบไปทำงานที่คณะแล้ว ก็เลยต้องพอแค่นี้ สามารถเซิร์สหาภาพเหล่านี้ได้ในกลูเกิ้ลนะครับ Caravaggio ครับ ^^

เพลง นางในฝัน --- Rhythmatique

ผมจำได้ว่าเพลงๆ นี้ผมเคยลงในบล็อกไปเพลงนึงล่ะ แต่ว่าแค่ชื่อเหมือนกันแต่คนละเพลงกันนะครับ...เป็นเพลงอินดี้เก่าๆ แนวเพ้อฝันที่ผมชื่นชอบ จริงๆ ผมบอกไปตั้งนานแล้วนะว่าทำไมชอบแนวๆ นี้ แบบว่าคนมันป๊อดอ่ะครับ ^^"

ฟังเพลินๆ และสบายๆ โดนใจดีเหมือนกัลนะ..."ก็เพราะว่าเธอ ก็เพราะ ว่าเธอคือนางในฝันที่ฉันเจอ และยังคิดถึงเสมอแต่เธอก็เลือนหายไป มาจนถึงวันนี้ฉันมั่นใจ จะไม่ยอมให้เธอจากไป และไม่ยอมให้เธอผ่านไป...อย่างในฝัน"...

ว่าแต่ เมื่อไหร่จะมั่นใจซักทีนะ อิอิ ^^"


























Tuesday, August 14, 2007

สมุด Diary...

ช่วงนี้ที่มหาวิทยาลัยของผมหยุดเยอะมากๆ แต่เรื่องงาน เรื่องวันสอบ แลปก็ยังมีเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย อ๋อ...วันนี้อาจารย์บอกคะแนนสอบกลางภาควิชานึง ทายซิผมได้ที่เท่าไหร่ มีเรียนอยู่ 5 คนเองอ่ะ...

ผมก็ต้องได้ท๊อป section อยู่แล้วดิ อิอิ เต็ม 26% ได้ 25.48% อีกนิดเดียวจะเต็มแว้ว สรุปนี่ก็ท๊อปไปวิชานึงเหลืออีกสองก็หวังว่าจะท๊อปนะ อิอิ ทำไมเก่งงี้ฟร้ะ...จริงๆ ก็ไม่แปลกนะ ผมน่ะตั้งใจจะเป็นอาจารย์มอนี้อยู่แล้ว ดังนั้น ต้องท๊อป ท๊อป ท๊อป มันให้ได้ทุกวิชา อิอิ ถ้าคะแนนโหล่กว่าเพื่อน จะไปสอนเด็กได้ไง จริงไหม?

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า...วันนี้อาจารย์ก็ต้องนัดสอบ นอกเวลาเพราะเนื้อหามันเยอะจัด ผมก็ดูๆ ปฏิทินซิ สุดท้ายก็ตกลงกันได้ ดีที่ไม่หนักไปตอนไฟนอลซ่ะทีเดียว นี่กลับไปห้องแลปก็มีนัดมาช่วยงานสัปดาห์วันวิทยาศาสตร์อีก งานเยอะเหมือนกันครับ ผมน่ะต้องหาเวลานอนให้มากๆ เพราะหัวจะได้แล่น นี่ล่ะเคล็ดลับของผมล่ะ...

เพื่อนผมคนนึงถามว่า พรุ่งนี้เรียนของอาจารย์อีกท่านนึงไหม? ผมบอก "เฮ้ยย เรียนเป่าวะ จำไม่ได้"...ปกติแล้ว ผมจะใช้วิธีจำเอา และนึกซ้ำๆ กันให้จำได้ แล้วก็มาทบทวนอีกทีก่อนนอนว่า พรุ่งนี้มีคิวต้องทำไรบ้าง แต่ดูท่าคราวนี้มันจะใช้ไม่ค่อยได้ผลล่ะสิ...

นึกถึงจารย์ของผมเอาสมุดไดอารี่ออกมาดูคิวนัดของแก อย่างว่าแหละแกงานเยอะ ก็เลยต้องมี ผมก็เลยคิดว่า นี่ตูซื้อซักเล่มดีไหมน่ะ?...

แต่ก่อนสมัยผมทำงานใหม่ๆ ผมก็ซื้อไว้เล่มนึง หน้าแรก มันก็เขียนดีอยู่หรอก นัดวันนู้นวันนี้ วันนี้ทำไรบ้าง คือพี่ที่ทำงานแนะนำให้จดไว้ เพื่อเซฟตัวเองจาก ผจก. และหัวหน้าหน้าเลือดบางคน แต่พักหลังๆ ไม่ได้เขียนไรเล้ยยย วันๆ งานเยอะจริงๆ ก็เลยเลิกเขียน...

ก็เลยคิดๆ อยู่ว่า นี่ตูซื้อมาจะได้ใช้จริงๆ ไหมหว่า?...แต่ฝึกไว้ วันหน้ามันก็ดีนะ งั้นเอาไว้ซื้อทีเดียว ปีหน้าเลยดีกว่า...ยังงี้จะได้ใช้ไหมหว่า? - -"

Monday, August 13, 2007

Don't hate me...!!!

วันนี้คงเป็นอีกวันที่ผมจะได้พบกับเธอเหมือนเคย...วันนี้เป็นวันที่เพื่อนๆ จะต้องมาประชุม พูดคุยกัน และแน่นอนเธอต้องมาแน่ๆ ผมมาถึงก่อนเวลานัด เพื่อจะได้มีโอกาสได้มองเห็นเธอเดินมาแบบเป็นธรรมชาติได้สุดๆ..นั่นไงเธอมาแล้ว และผมน่ะก็ต้องมาดักรอทางที่เธอจะเดินผ่านน่ะแหละ...

ผมยืนกอดอก เก๊กอยู่ห้องห้อง เธอเดินผ่านมาเจอผม เธอยิ้มให้ แล้วก็เดินผ่านไป คุยเฮฮากับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงของเธอ...ผมอุตส่าห์คิดไปว่า เธอน่ะ จะเดินเข้าหาผม มองหน้าผมแล้วก็พูดทักทาย "เป็นงายบ้างงง" คำพูดที่เธอชอบพูดกับผมเสมอๆ...เฮ้ออ อย่างว่าอ่ะนะ ผมเองเป็นเพื่อนไม่สนิทนี่ หรืออันที่จริง เรียกว่าคนรู้จักกันมากกว่านะ จะให้เธอมาสนิทสนมด้วยมันก็คงแปลกๆ...

มันคงผิดที่ว่า "ผมชอบเธอ" เธอเองก็คงจะได้รับรู้จากสายตาที่ผมมองเธออยู่ตลอด เธอเองก็เลย...ไม่อยากที่จะให้ความหวัง เพราะไม่ได้คิดอะไรกับผมเลยจริงๆ คิดแล้วมันเศร้า...

ระหว่างที่เพื่อนๆ พูดคุย ในเรื่องต่างๆ ผมน่ะ ไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นเลย ผมเฝ้ามองแต่เธอ ผู้หญิงอะไรที่จะดูดีได้ขนาดนี้ แถมยังทำตัวเองเป็นธรรมชาติ ไม่เคยเสแสร้งกับใคร แต่ถ้าใครไม่รู้จักเธอล่ะก็คงคิดว่าเธอน่ะ ร้ายไม่เบาเลยล่ะ...

ผมต้องคอยหลบสายตาที่เธอจะมองกลับมา เธอคงรู้ตัวว่ามีคนมองเธออยู่เหมือนกัน แต่ผมมันคนขี้เก๊ก จะให้เค้ารู้ตัวโต้งๆ ว่าชอบน่ะ ไม่ใช่สไตล์ผม เพราะยังงี้แหละ แห้วมาหลายทีแล้ว...เอาวะ จะมัวเก๊กอยู่ใย ลุยเลยดีกว่า...ว่าแล้วผมก็ลุกไปชวนเธอคุยทันที

เธอหันหน้ามาฟังผม ผมก็คอยถามนู้นถามนี่ไปเรื่อยๆ เธอก็ยิ้มพร้อมรับคำ ผมแทบหัวใจหยุดเต้น เธอยิ้มเก่งจริงๆ เธอเหมือนจะตั้งใจฟังที่ผมพูด แต่แล้วผมก็แป๊ก!! เอ่อๆ อยู่ต่อหน้าเธอจนได้

เธอเหมือนจะอยากพูดกับผมว่า หมดเรื่องคุยแล้วใช่ไหม เธอมองหน้าผมแล้วก็หัวเราะ พยักหน้าเหมือนกับว่ามีอะไรอีกไหม สุดท้ายเธอก็หัวเราะออกมาเบาๆ...แป๊กจนได้เรา!!

ผมคิดในใจ "เฮ้อ... ป๊อดทำไมวะ" สุดท้ายเธอก็ขอตัวกลับไปหาเพื่อนๆ ของเธอเหมือนเดิม...

ผมถามตัวเองอยู่ในใจว่าเธอจะเกลียดผมรึเปล่าน้า...ที่ผมชอบมาชวนคุย ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้อยากจะคุยเลย จะรังเกียจผมรึเปล่านะ ที่คอยตามตื้อแบบนี้ทั้งๆ ที่เธอไม่สนใจ!!..

ผมรอจนการประชุมเสร็จ ผมก็มายืนดักเธอเพราะว่าผมมีเรื่องสำคัญเรื่องนึงที่อยากบอกเธอ...คงคิดว่าผมคงจะบอกรักเธอใช่ไหม...ผิดครับ!!! ผมมันป๊อดดด...!!!

เธอเดินมากับกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอ พอมาถึงหน้าผม ผมก็พูดกับเธอว่า "ขอคุยอะไรหน่อยได้ไหม?" เธอก็บอกว่า "ด..ได้ สิ" เพื่อนของเธอเหมือนจะรู้จึงแยกตัวออกไปก่อน (เพื่อนเธอก็เพื่อนผมนั่นแหละ อิอิ)

ผมไม่กล้าสบตาเธอ เธอมองหน้าผม กำลังจะฟังว่ามีเรื่องอะไรล่ะ?

"อะ...เอ่อ คือว่า..." น้ำเสียงผมมันตะกุกตะกัก...ผมล่ะสมเพชตัวเองตอนนี้จริงๆ

"ระ...รังเกียจผมไหม? ที่ผมทำเหมือนตามตื๊ออยู่ยังงี้? เกลียดผมรึเปล่า?"...ในที่สุดผมก็ถามเธอไป...

เธอนิ่งไปซักพัก แล้วก็ตอบโดยไม่มองหน้าผม...

"ก็...ก็ไม่ได้รังเกียจนี่" เธอทำหน้าเฉยๆ ไม่ได้ยิ้มอะไร ผมเดาว่าเธอคงจะตอบไม่ให้ผมต้องเสียน้ำใจ แล้วเธอก็พูดตัดบททันที..."ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม? งั้น...ไปล่ะนะ..." เธอยังส่งยิ้มให้เหมือนเคย แต่ครั้งนี้มันคือยิ้มที่กระชากใจผม เหมือนกับบอกว่า "พอได้แล้ว"

ผมรับคำ ในใจผมยิ้มว่า อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้รังเกียจผมล่ะวะ...

ผมเฝ้ามองจนเธอกลับไป มองจนเธอหายไปลับตาของผม...แล้วก็กลับมาคิดอีกครั้ง ผมรู้ดีว่าเธอน่ะ ถ้าไม่ชอบก็จะบอกว่าไม่ชอบ แต่นี่เธอไม่ได้บอก หรือว่า...? เอาล่ะ แค่เธอไม่รังเกียจผม ผมก็ดีใจแล้ว คำพูดในครั้งนั้นของเธอทำให้ผมยิ้มแฉ่งอยู่คนเดียวไปได้อีกหลายวันเลยล่ะ...

Backstage : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าจะเขียนตั้งหลายวันล่ะ อยู่ดีๆ มันก็ปิ๊งขึ้นมาในหัว ปิ๊งแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลย ไม่เขียนก็คงจะไม่ได้ เพราะผมคิดตามไปว่า เฮ้ยย มันก็ดีนี่หว่า...แต่ว่าหลายๆ วันนี้ผมไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะเขียนเลย ก็เลยต้องยกยอดมาวันนี้ ^^ หวังว่าจะสนุกนะครับ...

Friday, August 10, 2007

งานกับห้องแลป...

อาจารย์ของผมเพิ่งโทรหาผมเมื่อไม่นานมานี้เอง อาจารย์โทรมาทวงเรื่องงานที่ได้ให้ผมไปทำเรื่องนึง คือ งานเรื่องตู้รองเท้า...ไปหาวิธีจัดการให้คนในห้องแลปมีตู้เก็บรองเท้าที่เป็นระเบียบ ต่อไปนี้ให้ทุกคนเปลี่ยนรองเท้าก่อนเข้าห้องแลป และไปดูแลเรื่องซื้อตู้รองเท้าใหม่...

ผมได้รับมอบหมายมาได้ซักเดือนนึงแล้วครับ แต่ติดที่ผมสอบ และกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ก็เลยยังไม่ได้ลงมือประชุม นัดวันที่จะมาจัดการ รวมทั้งเรื่องเก็บเงินด้วย...แต่ผมไปสำรวจราคาตู้ รวมทั้งรูปถ่ายมาเรียบร้อยตั้งนานแล้ว แต่ติดที่ต้องคิดถึงบางเรื่องก่อน

ผมก็เลยรู้ว่า ต้องรีบแล้วนะ ก็เลยรีบไปห้องแลปหาคนที่จะประสานงานให้ผม นัดวันประชุม วันที่จะไปซื้อ วันที่จะไปขัดพื้นใหม่ เพื่อเตรียมจะเปลี่ยนมาใช้ระบบใหม่...ผมไปถึงแต่ปรากฎว่าคนที่ผมอยากให้ประสานงานไม่อยู่ ผมเลยต้องโทรไปหาแทน

ทุกอย่างก็น่าจะเรียบร้อยครับ ฝากพี่คนนี้ให้ประสานงานนัดประชุมเรียบร้อย...แต่จะโอเคไหมผมไม่รู้ แต่รู้ว่าถ้าฝากพี่คนนี้ไปประสานงาน น่าจะโอเค

สิ่งที่ผมหนักใจ สิ่งที่ผมต้องเสียเวลามานั่งคิดก็คือ...นี่เป็นสังคมมหาวิทยาลัย ไม่ใช่สังคมการทำงานจริงๆ!!!

ผมได้ตำแหน่งรองหัวหน้าห้องแลปมา ทั้งๆ ที่ผมเสนอตัวเองเป็นหัวหน้าห้อง แต่ก็ไม่ได้รับเลือก เนื่องจากผมเป็นคนนอกเพิ่งเข้ามาคณะนี้...ผมเองตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงห้องแลปให้มันดีขึ้น จึงเสนอตัวรับตำแหน่งนี้ จริงๆ แล้วผมจะอยู่เฉยๆ ก็ได้ แต่อย่างว่าผมอยากจะทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น

ในสังคมมหาวิทยาลัยแล้ว คนที่เป็นหัวหน้า และรองหัวหน้า นั่นคือ เบ๊ ดีๆ นี่เอง!!! แต่ผมทำงานเป็น ผมจะต้องสั่งให้คนอื่นไปช่วยทำงานให้ นั่นแหละครับคือความลำบากใจ...ใครจะช่วยผมในเมื่อในสังคมแบบนี้ หัวหน้า รองหัวหน้าคือเบ๊ ต้องไปจัดการเองทั้งหมด ไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไมคนจบสูงๆ ถึงทำงานไม่เป็นกัน...เพราะถนัดแต่ทำงานคนเดียว

คิดดูครับ แค่ตอนแรก ผมน่ะ ขอให้เลขาห้องช่วยไปสำรวจราคาตู้รองเท้าที เพราะเลขาถือเงินไว้ รวมทั้งต้องดูแลเรื่องบิลที่จะไปเบิกงบมาด้วย...แต่เค้าอิดออด จนผมน่ะต้องไปสำรวจราคาเอง รองหัวหน้าต้องลงไปทำงานเองหรอ?...ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง อำนาจนะครับ แต่ผมน่ะ ต้องมีเรื่องอื่นให้คนอื่นไปรับผิดชอบอีก...

แต่ยังดีที่ไปจัดการเรื่องเก็บเงิน และซื้อรองเท้าได้เรียบร้อย ผมก็โล่งไปเปราะนึงล่ะ ที่เหลือก็แค่นัดวันประชุม โหวตเลือกตู้รองเท้า ขัดพื้น ซื้อตู้รองเท้า จบ...

มาคราวนี้ พี่ที่ผมให้ประสานงาน ก็ทำท่าว่าจะไม่อยากยุ่งอีก บอกว่าทำไมไม่ไปบอกหัวหน้าให้ไปประสานงาน...เอ๊า!!! นี่ตกลงให้ผมไปบอกหัวหน้าอีกทำไม กลายเป็นโยนงานไปให้หัวหน้าอีก หัวหน้าก็ต้องไปบอกคนอื่นอีกแล้วเมื่อไหร่มันจะเสร็จล่ะครับ...

แค่ขอให้ประสานงานให้ ช่วยบอกคนอื่นเรื่องนัดวันประชุม ช่วยกำหนดวันที่จะมาทำความสะอาดห้องให้ที ผมต้องทำเองหมดเลยหรอ...แล้วจะมีหัวหน้าห้อง รองหัวหน้า ไว้ทำไมครับ...มีไว้ให้ทำงานให้หรอ?

ผมน่ะหลงคิดไปว่า ได้รับมอบหมายงานให้มาทำ จะแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ให้แต่ละคนที่ไว้ใจได้ไปรับผิดชอบ ผมแค่จัดการต่ออะไรๆ ให้มันเข้ากันได้เรียบร้อย แค่นั้นเอง...

บอกตรงๆ ว่าเหนื่อยครับ เหนื่อยกับที่ต้องมาเจอสังคมแบบนี้...

เพราะคนคิดว่า ไม่ใช่เรื่องของชั้น อาจารย์มอบหมายงานให้แกทำ แกก็ทำไปสิ ชั้นไม่เกี่ยว!!! จะโยนงานให้ทำก็ไม่ทำให้ เพราะไม่ได้จ้าง ไม่ได้มีผลประโยชน์ด้วย... ก็เลยทำให้พวกนี้ไม่สนใจงานของส่วนรวม สนใจแต่งานของตัวเอง สุดท้าย ทำงานเป็นทีมไม่เป็น

สุดท้ายที่อยากบอก..."อย่าให้คนเขาว่าได้ว่าจบมาตั้งสูงแต่ทำงานไม่เป็น"...เจ็บนะครับ จะบอกให้

Thursday, August 9, 2007

A day, with a sleepless night

ดึกดื่นคืนนี้ ฉันไม่ข่มตานอน มัวนั่งฝันละเมอลอยๆ อาจเพราะฉันอยู่กับตัวเองมากเกินไป หรือมันเป็นที่ท้องฟ้า ในคืนนี้มันไม่มีดาว ไม่มีดวงจันทร์ ค่ำนี้มีแต่เพียงฉัน มันช่างเหงา...จับใจ

ได้แต่ฝันคนเดียว ได้แต่เหงาคนเดียว...เรื่อยไป...

แค่คิดถึงเธอ อยู่ดีๆ มองดาวมองฟ้า น้ำตาก็ไหล ไม่ได้ถามตัวเองมันเหงา มันเป็นอย่างนี้ทำไม แต่ไม่ผิดใช่ไหม...แค่คิดถึงเธอ

ดึกดื่นคืนนี้ ฉันก็อยากจะนอน หลับไหล ลืมว่าใจฉันนั้นมันเหงา เหงาขนาดไหน ลืมหน้าใครบางคน แต่ก็เหมือนดังเคย มันไม่เชื่อกันเลยหัวใจ...

คืนนี้ไม่มีเธอ เพิ่งจะรู้ ว่าเจ็บเพียงใด คืนนี้ช่างยาวนาน ยังไม่รู้จะผ่านไปได้ไหม?...

ฉันไม่มีเธอ ในคืนนี้ ฉันไม่มีใคร เมื่อความรักยังไม่จางหาย แต่ความรักกลับมาทำร้าย...ในคืนนี้ ฉันไม่เหลือใคร ...ในคืนที่ไม่มีเธอ...

รอเช้าของวันใหม่ วันพรุ่งนี้ ความเจ็บคงจาง รอ รออยู่เท่าไหร่ ยิ่งอ้างว้าง ในใจมีเพียงเธอ...

...

Editor note : สำหรับหัวข้อนี้ก็เป็นการนำเพลงของวงดนตรีอินดี้ที่ผมชอบ วง Portrait เพลง "คืนที่ไม่มีเธอ" กับ "แค่คิดถึงเธอ" มาเขียนเองตามอารมณ์พาไปกับ กับค่ำคืนที่หลายๆ ครั้งผมต้องมาคิดอะไรเงียบๆ อยู่คนเดียว

แม้จะเป็นเพลงเก่า แต่มันก็กินใจผมเสมอ โดนเฉพาะช่วงเวลาที่เหงาๆ ที่ล่ะ โดนนัก ^^

Wednesday, August 8, 2007

รับ ไม่รับ รัฐธรรมนูญปี 50?...

ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงวันที่คนไทยที่มีสิทธิ์จะไปใช้สิทธิ์เพื่อเลือกที่จะ "รับ" รึ "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญปี 50 นี้ซึ่งร่างมานานพอสมควรแล้วเชียว ในวันที่ 19 กันยา นี้เอง...

ฝ่ายรัฐบาลก็พยายามที่จะรณรงค์คนให้ไปใช้สิทธิ์รับร่างฯ ในครั้งนี้ แถมมีแอบให้ลงประชามติว่า "รับ" อีกตะหาก...เพราะบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้สิทธิ์กับประชานมากขึ้นกว่าเดิมอีกนะ แถมมีข้อดีสุดๆ ทำให้ผมนึกถึงโฆษณาทาง ทีวีไดเร็คจริงๆ (ฮา)

ฝ่ายแอ๊บแม้ว และผ่ายต่อต้านเผด็จการก็ออกมาเคลื่อนไหว "ไม่รับ" ร่างด้วยเหตุผลต่างๆ นานา โดยข่าวล่าเร็วๆ นี้ก็บอกว่าที่ จ.บุรีรัมย์ มี ส.ส. มาเอี่ยวให้คนไม่รับร่างนี้ด้วย...พยายามจะคว่ำร่างฯ นี้ให้ได้...

แล้วคุณล่ะจะเลือก "รับ" หรือ "ไม่รับ" ร่างนี้หรือไม่?...เพราะอะไร?

สำหรับผม ได้เปิดอ่านคร่าวๆ แล้วเล็กน้อย เล่มหนาพอสมควรเหมือนกัน...ก็เลยไม่รู้รายละเอียดมากหรอกครับ แต่ผมน่ะเลือก "ไม่รับ" อยู่แล้ว...ไม่ว่าร่างฯ นี้จะดียังไงก็ตาม

มันคงตลกมากๆ นะครับ ถ้าเลือกที่จะ "รับ" ร่างฯ ที่ถูกร่างมาจากรัฐบาลเผด็จการเพื่อมาใช้กับประเทศระบอบประชาธิปไตย...

อีกอย่างผมก็ไม่เห็นว่า ร่างฯ นี้จะให้สิทธิ์ประชาชนเพิ่มขึ้นแค่ไหนเลย ในเมื่อประชาชนยังคงมีอำนาจอยู่แค่วันเดียว คือ วันเลือกตั้ง หรือไม่จริงล่ะครับ (ฮา)...

Sunday, August 5, 2007

ชีวิตผู้ชายเริ่มต้นที่ 30?

ผมได้ยินคำๆ นี้บ่อยมากเลยครับ รู้สึกเหมือนกับว่า คนที่พูดเนี่ย ไม่เป็นผู้ใหญ่เอาซ่ะเลย ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่เรียนจบตอนอายุ 22-23 กันทั้งนั้น แล้วนายเอาเวลาส่วนที่เหลือไปทำอะไรน่ะ?

คิดดูนะครับว่าชีวิตคนเราก็แสนสั้น ผู้ชายก็เฉลี่ยแค่ 66 ปี ผู้หญิงมากกว่านั้นนิดหน่อย ตกลงเริ่มกันตอน 30 เลยหรอ? ไม่รู้สิ ผมว่าเหมือนกับการที่มีข้ออ้างว่า เฮ้ย ชั้นยังไม่พร้อม ขอตั้งตัวก่อนเถอะ...

ส่วนตัวผมเองคงเริ่มซักประมานนั้นแหละครับ ไม่ใช่ว่าใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยนะ แต่กว่าจะเรียนจบนี่ก็คง 30 แล้ว เฮ้ออ...คิดดูสิครับ ผมยังคิดว่านี่ตูเหลือเวลาแค่ 35-36 ปีเองเหรอเนี่ย สั้นจัง!! (รึอาจจะตายก่อน)

แย่ๆ ครับ ยังมีอะไรๆ ต้องทำอีกตั้งเยอะ ผมคิดๆ ไว้ว่าชีวิตนี้ทำ 2 อย่างนี้ให้ดีที่สุดล่ะ...

อย่างแรกก็คือ...ต้องสร้างชื่อเสียงวงศ์ตระกูลให้มากที่สุด ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ นะ(ว่าไปนั่น)เพราะว่าปู่ผม ตั้งชื่อให้ไว้ เพื่อให้ระลึกอยู่เสมอว่า "วงศ์ตระกูลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด" สิ่งนี้มันก็อยู่ในชื่อของผมด้วยล่ะ

อย่างที่สอง...เพื่อผู้หญิงที่ผมรักที่สุด มีครอบครัวที่อบอุ่นนะ อันนี้น่ะ อาจเป็นปมของผมตั้งแต่เด็กแล้ว เหมือนพ่อแม่ผมจะไม่ได้รักกันจริงๆ แต่ท่านดีทั้งคู่นะ เป็นตัวอย่างที่ดีในการเลี้ยงลูก การมีครอบครัวที่อบอุ่นเลยล่ะ...ผมก็เลยคิดว่า จะต้องหาผู้หญิงซักคนที่ผมรักจริงๆ แล้วก็ให้ความสุขกับเธอ กับลูกๆ ให้ดีที่สุดเลย...พาไปเที่ยวรอบโลกเลยดีม่ะ..555+ จริงมีหลายที่ในโลกมากเลยนะที่อยากจะพาไป...

คิดดูสิผมจบก็ 30 แล้ว งี้ก็เหลือเวลาอีกนิดเดียว จะทำสองอย่างนี้ได้ดีไหมน้า...ผมเนี่ยเป็นคนชอบคิดไกลไปจริงๆ แต่จะให้มาคิดกันวันต่อวัน อันนี้ก็ไม่ไหวน่ะ...

สรุปชีวิตผมก็คงเริ่มที่ 30 จริงๆ แหละ ทั้งที่ใจจริงแล้ว อยากจะแต่งงานซัก 26 มีชีวิตที่มีความสุขไปตลอดเหมือนเทพนิยาย 555+ Happy Ending แล้วก็จบ แต่นี่ชีวิตจริงนี่นะ...ก็ต้องสู้กันต่อไป เอิ๊กๆๆ