Saturday, March 31, 2007

เพลง โอ้...ความรัก --- Rule Dark

คุณเคยรู้สึกบ้างไหมว่า ทำไมตัวเองถึงไม่ได้พบเจอความรักที่แท้จริงซักที แต่ในใจลึกๆ ก็ยังหวังว่าจะได้พบเจอมันสักครั้งในชีวิต...กับเพลงๆ นี้ของวง รูล ดาร์ก "โอ้...ความรัก" เนื้อหาที่คนๆ หนึ่งเฝ้าถามเสมอว่า ความรักไปอยู่ที่ใด ทำไมเขาถึงไม่ได้พบเจอมันสักครั้งเลย...
จริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่พูดยากนะครับ บางคนต้องการมีความรัก แต่คนที่เข้ามาก็ไม่ใช่คนที่ต้องการ บางคนมีคนที่ต้องการ แต่ก็ไม่สามารถที่จะครอบครองความรักนั้นไว้ได้...แต่ลึกๆ แล้วเชื่อเถอะครับว่าทุกคนล้วนต้องการความรัก ความเอาใจใส่ จากคนอื่นเสมอ...มีผู้หญิงคนหนึ่งเคยพูดกลับผมว่า เธอกลัวที่จะไม่มีใครในชีวิตนี้มากกว่า ...
ผมก็เห็นด้วยนะครับ ผมคิดว่าเพราะเธอเป็นคนช่างเลือก อยากจะเจอผู้ชายที่พร้อม และถูกใจ มากกว่าที่จะคบคนอื่นไปเรื่อยเปื่อย เรียกง่ายๆ ว่ากลัวจะผิดพลาด อยากจะมีความรักครั้งเดียว ให้มันสมบูรณ์ไปเลยทีเดียว...แต่อย่างว่าล่ะครับ เธออาจจะรู้สึกกลัวกับเรื่องนี้ก็ได้ เลยรู้สึกลึกๆ ว่าเลือกมากจะไม่มีใครเลย...ทั้งที่มีคนจีบ ชอบเธอมากมายเลยล่ะ...
ศิลปิน : Rule Dark
เพลง : โอ้...ความรัก
ยังไม่เคยเข้าใจ ว่าอะไรที่ใครต่างพูดกันว่ามันวิเศษ
ยังไม่เคยเข้าใจ เหตุอันใดใครๆ ต่างพูดกันว่ามันยิ่งใหญ่ มันเป็นเช่นไร

* ไม่เคยได้สัมผัส รักที่เขาพูดว่า งด งามและล้ำค่า
ขอเวลา ที่ดีอย่างนี้ไม่มีสักครั้ง

** โอ้ความรัก เจ้าพัดอยู่แห่งหนที่ใดหนอหัวใจ
จึงหาไม่เจอสักครั้ง
โอ้ความรัก ฉันนั้นไม่เคยได้รู้จักรักเสียที
(มีชีวิตลำพังอย่างนี้ไม่เอาแล้ว)(ไม่อยากให้ชีวิตแบบนี้)
แม้มันสบาย ไม่มีชีวิตวุ่นวาย
แต่เวลามองในภาพถ่าย ข้างกายฉันมันอ้างว้างเหลือเกิน

(*,**,**)

ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว...


























Thursday, March 29, 2007

เพลง ไม่อยากให้เธอมีใครมาจีบ --- JKI

ปกติแล้วผมจะไม่ฟังเพลงของพวกวง Boyband ทั้งหลายนะครับ ยกเว้นว่าเพลงจะเพราะ หรือโดนจริงๆ ...กับเพลงนี้ "ไม่อยากให้เธอมีใครมาจีบ" ผมชอบเพลงนะ ไม่ชอบคนร้องหรอก ดันหล่อกว่านี่ เอิ๊กๆ ฟังเพลงนะครับฟังเพลง...
เนื้อหา บวก เสียงร้องกวนๆ ของสามหนุ่มวง JKI กับเนื้อหาที่ตรงกับชื่อเพลงอยู่แล้ว...ฟังแล้วโดนเป็นบ้าเลย ให้ตายสิ ...สาธุ !!! อย่าเพิ่งมีใครมาจีบเลยนะ ขึ้นคานไปเถอะ 555+...
ศิลปิน : เจ เค ไอ (JKI)
อัลบั้ม : JKI
เพลง : ไม่อยากให้เธอมีใครมาจีบ

อะไรบันดาลให้เธอดู Work
เกิดมาน่ารักน่า love กว่าคนทั่วไป
look เธอก็โดน ท่าทางก็เด่น จนฉัน...สะกด

เธอทำให้ใครต่างมองต่างยิ้ม
แต่ฉันนี่สิที่มัน ต้องฝืน ต้องทน
เห็นเคลิ้มจัด จัด ที่จริงข้างในน่ะ Hurt

* เพราะใคร ใครก็ชอบเธอเกินไป
มันเลยวางใจไม่ค่อยลง
ขอให้เธอ ช่วยเหลือฉันซักหน่อยได้ไหม

** ไม่อยากให้เธอมีใครมาจีบ (อย่านะ...ฉันหวง)
ไม่อยากให้ใครเห็นเธอน่ารัก (อย่านะ...ฉันหวง)
ฉันหวงจนใจเต้นรัว ขอร้องเธอช่วยหยุดทีได้ไหม
ไม่อยากให้เธอมีใครมาจีบ (อย่านะ...ฉันหวง)
ไม่อยากให้เธอมีแฟนว่างั้น (อย่านะ...ฉันหวง)
แม้ตัวเธอไม่รัก ถึงฉันต้องอกหักก็ไม่ให้ใคร

เธอเป็นอะไรที่เอื้อมไม่ถึง
ส่วนฉันน่ะแค่พื้นๆ จะไปสู้ใคร
ถึงไม่มีสิทธิ์ แค่หวงไม่ผิด ใช่ไหม

(ซ้ำ *, **)
(ซ้ำ **)

Wednesday, March 28, 2007

แบบทดสอบความรัก...จากนิทาน หนูน้อยหมวกแดง

แบบทดสอบความรัก...จากนิทาน หนูน้อยหมวกแดง

1. คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้หนูน้อยชอบสวมหมวกสีแดงมากที่สุด (ตอบตามความคิดของตัวเองนะ)
a. เพราะหนูน้อยเกิดวันอาทิตย์ ซึ่งวันอาทิตย์คือสีแดง
b. เพราะเป็นหมวกที่คุณยายเธอซื้อให้
c. เพราะสีแดงเป็นสีที่หนูน้อยชอบมาก

2. หนูน้อยหมวกแดงต้องการใส่คอนแทคเลนส์ คิดว่าหนูน้อยหมวกแดงจะใส่คอนแทคฯสีอะไร
a. สีแดง
b. สีฟ้า
c. สีน้ำตาล

3. คืนก่อนที่หนูน้อยหมวกแดงจะไปเยี่ยมคุณยาย คิดว่าหนูน้อยหมวกแดงฝันว่าอะไร ซึ่งเป็นลางร้ายบอกเหตุว่าจะเจอหมาป่า
a. ฝันว่าตัวเองตกจากที่สูง
b. ฝันเห็นผีวิ่งไล่ตาม
c. ฝันว่าตัวเองกำลังเจ็บป่วยไม่สบาย

4. ตื่นเช้าขึ้นมาเครื่องดื่มที่หนูน้อยหมวกแดงโปรดปรานที่สุดคือ
a. น้ำเปล่าบริสุทธิ์
b. น้ำหวาน
c. น้ำผลไม้

5. หนูน้อยหมวกแดงแวะพักชมดอกไม้ ถ้าดอกไม้พูดได้มันจะพูดอะไร

!!!+++ให้คิดข้อความที่ดอกไม้จะพูด+++!!!

6.ก่อนกลับจากการเยี่ยมคุณยาย คุณยายจะให้ของขวัญอะไร
a. เสื้อกันหนาวเอาไว้ใส่ฤดูหนาว
b. หมวกสีแดงอีก 1 ใบ
c. ขนมหรืออาหารอร่อยๆที่คุณยายเตรียมไว้

7.ได้เวลาที่นิทานจบ คิดว่าหนูน้อยจะกล่าวลาคุณยายอย่างไร

!!!+++ให้คิดคำลา+++!!!

~~~~ เฉลย ~~~~

ข้อ 1 เฉลย
a. คุณชอบเพศตรงข้ามที่มีนิสัยใจคอคล้ายๆกับคุณมากกว่าคนที่ชอบอะไรแตกต่างกัน
b. คุณชอบเพศตรงข้ามที่อยู่ใกล้ๆแล้วให้ความรู้สึกที่อบอุ่นมีความสุขและปลอดภัย
c. คุณจะชอบหรือรักใครก็ด้วยเพราะตัวเองไม่จำเป็นต้องมีแม่สื่อหรือเพื่อนๆคอยเชียร์

ข้อ 2 เฉลย
a. ให้ระวังตัวคุณจะมีความรักตามแฟชั่นคือเห็นเพื่อนมีกันก็อยากมีบ้างทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ต้องการเท่าไหร่
b. คุณรู้สึกสบายๆกับความรัก จะมีหรือไม่ก็ได้ขอให้สบายใจและไม่กังวลกับมันก็พอ
c. ให้ระวังความแก่แดดของคุณในเรื่องความรักของคุณ ทั้งที่คุณยังไม่เข้าใจความรักหรือเขาดีพอ

ข้อ 3 เฉลย
a. ถ้าคุณมีแฟนสิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือ กลัวว่าเขาจะนอกใจคุณไปชอบคนอื่น
b. ถ้าคุณมีแฟนสิ่งที่เธอกลัวที่สุด คือ กลัวว่าเขาจะไม่จริงใจหรือรักเธอมาก่อนเลย
c. ถ้าคุณมีแฟนสิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือ กลัวว่าเธอจะไม่ดีพอ จนทำให้เขาไปมีแฟนใหม่ซึ่งมีอะไรดีกว่าเธอ

ข้อ 4 เฉลย
a. ความรักคุณจะออกไปทางเรียบง่าย ธรรมดาไม่หวือหวา
b. ความรักคุณค่อนข้างมีสีสัน กุ๊กกิ๊กน่ารักและทำให้คุณชื่นใจ
c. ความรักคุณจะโรแมนติก คุณจะพยายามทำทุกอย่างให้ความรักสมบูรณ์

ข้อ 5 เฉลย
!!!ข้อความที่ดอกไม้พูดกับคุณคือคำพูดที่คุณอยากให้คนรักพูดทักทายคุณ!!!

ข้อ 6 เฉลย
a. เวลาคุณไม่สบายคุณอยากให้คนรักแตะตัวคุณเพื่อดูอาการไข้ด้วยความห่วงใย
b. เวลาที่คุณเห็นคนรักมีความสุขในสิ่งที่คุณให้หรือทำคุณจะให้สิ่งนั้นหรือทำอย่างนั้นกับเขาบ่อยๆ
c. คุณต้องการคำชมจากคนรักเมื่อคุณทำสิ่งพิเศษเพื่อเขา

ข้อ 7 เฉลย
!!!คำลาที่เธอคิดใช้พูดลากับคนรักตอนแยกกันกลับบ้าน(แต่ไม่ใช่คำพูดตอนเลิกกันนะ)

Credit จากเวบ kapook.com จ้า...

แผนการอยู่ที่คน สำเร็จอยู่ที่ฟ้า...

คำพูดที่สั้นๆ แต่แผงไว้ด้วยความหมายที่ลึกซึ้งพอสมควรเลยที่เดียวกับคำว่า "แผนการอยู่ที่คน สำเร็จอยู่ที่ฟ้า"...วันนี้ก็จะลองมาพูดถึงคำๆ นี้ตามที่ผมคิดกันบ้างล่ะนะ...

คำว่า "แผนการอยู่ที่คน" นั้น พอจะหมายความได้ว่า การที่คนเราจะทำการงานสิ่งใดให้สำเร็จตามเป้าหมายนั้น ขึ้นอยู่กับการวางแผน หากมีแผนงานที่รอบคอบและละเอียดโอกาสสำเร็จก็จะสูง แต่หากไม่มีแผนการโอกาสสำเร็จก็ยังคงมีเช่นเดียวกันแต่อาจจะน้อยกว่า ...หรือ อาจจะหมายความถึงการเลือกใช้คนที่ไปทำงานนั้นๆ ด้วย เช่น เอาช่างไม้ ไปเย็บผ้า ก็คงจะไม่สำเร็จโดยง่าย และ อาจหมายถึงปัจจัยที่มาจาก "คน" เช่น ฉลาด มีความพยายาม อดทน...ซึ่งก็แล้วแต่สถานการณ์ และคนเราจะตีความหมายไป...

ส่วนคำว่า "สำเร็จอยู่ที่ฟ้า" นั้น นอกจากจะหมายถึง ต้องให้สวรรค์เป็นใจ หรือมี"ดวง"แล้ว การที่ทำการใด ก็ต้องอาศัย "โอกาส" ที่ดีด้วย... และคำว่า "ฟ้า" ยังมีความหมายแฝงไว้อีกต่างหาก เช่น หมายถึง ฟ้าฝน สภาพอากาศ เอื้ออำนวย หรือไม่...

สมัยจีนโบราณ คำว่า "ฟ้า" ยังหมายถึง จิตใจประชาราษฎร ผู้นำส่วนใหญ่ล้วนรอคอยโอกาสที่จะเพิ่มอำนาจของตน เช่น สมัยสามก๊ก หลังจากโจโฉ สถาปนา เป็น วุยอ๋อง แล้ว ก็เริ่มมีเสียงตอบรับมาจาก จ๊ก ของ เล่าปี่ และ ง่อ ของซุนกวนด้วยว่าควรสถาปนาเป็นอ๋องตาม และเมื่อ โจผี สถาปนาตนเป็น ฮ่องเต้องค์ใหม่ของราชวงค์แล้ว โอกาส "ฟ้า" ของเล่าปี่ และ ซุนกวน จึงมาถึง จึงสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยของ เล่าปี่นั้น อ้างว่า ไม่ให้ราชวงค์ฮั่น ล่มสลาย จึงอาศัยจังหวะนี้ ตั้งตนเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงค์ ฉู่ฮั่น ขึ้น ...ส่วน ซุนกวน ก็อาศัยประชาชนในกังตั๋งที่รักใคร่ในตระกูล ซุน ตั้งตัวเช่นเดียวกัน...จะเห็นได้ว่า ผู้นำ ทั้งสามนี้ก็อาศัยจังหวะเวลาที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน...

แต่หากมีแผนการที่รอบคอบแล้ว และเลือกใช้คนที่เหมาะสม แต่แผนการก็ไม่สำเร็จ ก็ถือว่าเป็นดวง ถือว่าเป็นลิขิตฟ้า...ตอนที่ขงเบ้งสู้กะสุมาอี้ตอนนึงนั้น ขงเบ้งเคยต้อนสามพ่อลูกแซ่สุมา ลงหุบเขาโดยที่มีฟางแห้งเตรียมจะจุดไฟเผาให้ตายพร้อมกันสามคนนั้น ในหนังสือบรรยายว่า "สามพ่อลูกสุมาอี้นั้นกอดคอกันร้องไห้ เตรียมที่จะตายเพราะไฟจากแผนการของขงเบ้งอยู่แล้ว แต่ทันใดนั้น ก็ได้มีฝนตกห่าใหญ่ลงมา โดยไม่มีทีท่าว่าจะตกมาก่อน โดยฝนได้ทำให้ไฟดับลง และได้ทำให้น้ำท่วมสูงถึง หนึ่งฟุต" ... ขงเบ้งจึงรำพันกับตนเองว่า "แผนการของตนใกล้จะสำเร็จอยู่แล้ว แต่สวรรค์ไม่ยอมให้พ่อลูกสุมาอี้ตาย ก็คงจะต้องยอมรับ" แล้วขงเบ้งก็จากไปด้วยความเศร้าใจที่ไม่อาจกำจัดสุมาอี้ได้

ซึ่งจากข้อความนี้ก็พอจะสอนให้รู้ว่า นอกจากจะต้องมีแผนการที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังต้องรู้จักอาศัยโอกาสที่ดี แผนการจึงจะสำเร็จ...ดังคำพูดของของซุนวู ที่มีการต่อเติมลงไปว่า...

รู้เขา รู้เรา จักได้ชัยชนะกึ่งหนึ่ง
รู้ฟ้า รู้ดิน จักได้ชัยชนะทั้งมวล

เพลง พรุ่งนี้ดีกว่า --- HRU

ช่วงนี้ผมเอาแต่เพลงมาลงเนื่องจากยังคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะเขียนอะไรดี เหอะๆ...จริงๆ ก็มีเรื่องจะเขียนล่ะนะ แต่อยู่ดีๆ ก็เกิดอารมณ์ไม่อยากเขียนมั่งล่ะ ขี้เกียจมั่งล่ะ...เอาเป็นว่าลงเพลงที่ผมชอบๆ ไว้เอาไว้ เข้ามาดูก็จะได้ฟังเพลงที่ผมชอบล่ะนะ...
สำหรับเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่ผมชอบอีกเช่นเคย เป็นวงที่มีเพลงดังอย่าง "ดาวมหาลัย" ที่กินใจ(ใครบางคน) ดีจัง ว่าแต่ดาวมหาลัยนี่หน้าตาไงอ่ะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยไปสนใจดูกะเค้าเหมือนกัน อิอิ... กับอีกเพลงเพราะที่เนื้อหาดี และผมก็ชอบ (อีกแล้ว)พอได้ฟังเพลงนี้ทีไรทำให้รู้สึกนึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็กๆ สมัย ม.ปลาย ที่เพิ่งมีความรักครั้งแรกยังไงยังงั้นเลย...
เนื้อหาเพลงก็ประมาณว่า อยากจะบอกรักแต่ไม่กล้า ไม่มีโอกาสซักที อยู่กะเพื่อนบ้างล่ะ มีมารมาผจญบ้างล่ะ เอาน่า ไว้ค่อยบอกวันอื่นก็ได้แล้วกัน...ฟังเพลงนี้ไปก็รู้สึกมี feeling ดีนะ พอจะนึกภาพ shot ต่อ shot ประมาณมิวสิควีดิโอได้เลย เหอะๆ...รู้สึกดีนะที่ได้แอบมองคนที่ชอบ รู้สึกใจเต้น ตึกตักดี แล้วก็ต้องมาลุ้นว่าเค้าจะรู้ไหมน้า ...
เอาล่ะ ถ้าใครมีคนที่ชอบอยู่ล่ะก็ อย่าลืมไปบอกเค้าแต่เนิ่นๆ ล่ะ อย่ามั่วแต่ผลัดวันเหมือนในเพลงนี้ก็แล้วกัน อาศัยจังหวะดีๆ ลุยเลย อิอิ...
ศิลปิน : HRU
เพลง : พรุ่งนี้ดีกว่า
อัลบั้ม : Not Enough

เฝ้าคิดถึงเธออยู่ทุกๆ วัน ได้เจอหน้ากันหวั่นใจทุกที

หยุดไม่ได้แล้ว ฉันรักคนนี้ รักเมื่อแรกเจอ

ไม่อยากให้เราเป็นแค่เพื่อนกัน ผ่านแต่ละวันฉันยิ่งแน่ใจ

แอบส่งดอกไม้และของขวัญไปให้ เหลือเพียงแค่ความในใจ

บอกเธอพรุ่งนี้คงดีกว่า บอกเธอวันนี้ฉันเองก็ยังไม่กล้า

อยากบอกว่ารักให้ฟังแต่ฉัน ก็เกรงใจ

บอกเธอพรุ่งนี้คงดีกว่า ให้เวลาฉันได้ไปรวบรวมความกล้า

อยากบอกว่ารักจริงๆ แต่ฉันกลัวเธอไม่สน

ขอเตรียมตัวให้พร้อมใหม่ แล้วฉันค่อยไปบอกเธอ

อยากจะรู้ใจเธอดูสักที แต่ไม่เห็นมีท่าทีรักใคร

ไอ้เราก็เขินไม่รู้อายทำไม ก็พูดไปซิความในใจ

แต่บอกเธอพรุ่งนี้คงดีกว่า บอกเธอวันนี้ฉันเองก็ยังไม่กล้า

อยากบอกว่ารักให้ฟังแต่ฉันก็เกรงใจ

บอกเธอพรุ่งนี้คงดีกว่า ให้เวลาฉันได้ไปรวบรวมความกล้า

อยากบอกว่ารักจริงๆ แต่ฉันยังกลัวเธอไม่สน

ขอเตรียมตัวให้พร้อมใหม่ แล้วฉันค่อยไปบอกเธอ

บอกเธอพรุ่งนี้......คงดีกว่า......

บอกเธอพรุ่งนี้......แล้วฉันค่อยไปบอกเธอ



























Saturday, March 24, 2007

เพลง ไม่ต้องรักฉัน Girls

วันนี้ก็มีเพลงๆ ที่ผมชอบ เอามาลงไว้ฟังใน Blog กันอีกแล้วนะครับ...คราวนี้เป็นเพลงของวง Girls กับเพลงที่ผมก็ไม่รู้ว่าใครเป็นต้นฉบับของเพลงนี้เหมือนกัน...กับเนื้อหาดีๆ ที่ว่าด้วยความหวังดีที่มีให้ใครสักคนนึง แต่ไม่อยากให้เข้าใจกันผิดว่าทำไปเพื่ออะไร
ก็แค่...อยากให้รับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้ไป แค่นั้นเอง ไม่ได้หวังอะไรจริงๆ นะ เอิ๊กๆ >_<...
ศิลปิน : Girls
เพลง : ไม่ต้องรักฉัน

ทุกๆความหวังดีที่ให้ไป ไม่หวังอะไรตอบแทน
แม้ไม่ได้มากมายที่ให้ไป ก็อยากให้รู้ว่ามันมาจากหัวใจ

*ที่รักเธอ จนยั้งใจไว้ไม่ได้
อยากให้เธอได้โปรดรับไป ฉันต้องการเท่านั้น

**ไม่ต้องรักฉัน แค่ขอให้ฉันได้รักเธอ
และไม่ต้องคิดถึง แค่ขอให้ฉันคิดถึงเธอ
และไม่จำเป็นที่เธอต้องเข้าใจ วันนี้แค่ฟังไว้
ว่าหัวใจของฉัน จะรักเธอไม่เปลี่ยน

อย่าคิดอะไรมากเลย ที่ฉันทำ ไม่เห็นจะต้องหนักใจ
รักเป็นเรื่องง่ายดาย มันไม่เคยเลวร้าย ก็เพราะว่ามันมาจากหัวใจ
(ซ้ำ*)
ก็หัวใจมันรักเธอ จนยั้งใจไว้ไม่ได้
อยากให้เธอได้โปรดจงรับไป ฉันต้องการเพียงเท่านั้น
(ซ้ำ**)
และไม่ว่ามันจะนานสักเท่าไร จะนานสักเพียงไหน
หัวใจของฉัน~ จะรักเธอไม่เปลี่ยน


























Tuesday, March 20, 2007

300 ขุนศึกพันธุ์สะท้านโลก...

อีกหนึ่งในหนังดีในเวลานี้ครับกับ "300 ขุนศึกพันธุ์สะท้านโลก" ที่เล่าขานย้อนไปถึงความโหดร้ายแห่ง สงครามเธอร์โมไพเล (Thermopylae)ซึ่งกษัตริย์ เลโอนิดาส์ (เจอราร์ด บัทเลอร์) และกองทัพสปาร์ตัน 300 นายพลีชีพในการต่อสู้กับ เซอร์เซส (Xerxes)และกองทัพมหึมาแห่งเปอร์เซีย ในการเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีกำลังท่วมท้น กำลังใจและการเสียสละของพวกเขากลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับชาวกรีกทั้งมวลในการร่วมกันต่อสู้กับกองกำลังข้าศึกชาวเปอร์เซีย การขีดเส้นบนผืนทรายเพื่อประชาธิปไตย ...

ตอนนี้ผมก็โหลดหนังซูมมาดูเรียบร้อยแล้ว ด้วยที่ความอยากดูเอามากๆ แต่หนังที่โหลดมานั้น ภาพอภิมหาบรมห่วยแตกสิ้นดีเลยเชียว...แต่ไม่เป็นไรครับอีกไม่กี่วันผมก็จะไปเชียงใหม่อยู่แล้ว ถือว่ามาดูเรียกน้ำย่อยก่อนแล้วกัน แล้วค่อยไปดูอีกทีในโรงภาพยนตร์...

มาถึงประวัติศาสตร์จริงกันบ้าง ซึ่งผมจะกล่าวถึงชาวสปาร์ต้า และ สงครามเธอร์โมไพเล ในหน้าประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้เป็นเกร็ดความรู้ก่อนไปดูหนังจริงซักเล็กน้อยนะครับ...

สปาร์ต้าเป็นนครรัฐแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของแหลมกรีก เนื่องจากชาวสปาร์ต้ามีดินแดนของตนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจึงทำให้ผลิตอาหารไม่ได้เพียงพอกับความต้องการ ชาวสปาร์ต้าจึงจำเป็นจะต้องมีกองทัพที่เข็มแข็งไปเพื่อขยายดินแดนหาอาหารเลี้ยงคนทั้งประเทศ และยึดครองทาสมาใช้เป็นแรงงาน...

เด็กผู้ชายชาวสปาร์ต้านั้นเมื่ออายุได้ 7 ขวบ จะต้องถูกนำมาฝึกทหารเพื่อศึกษาวิชาป้องกันตัวเอง ฝึกฝนให้มีร่างกายที่แข็งแรง ให้มีความอดทนต่อสภาวะที่ทุกข์ยาก แต่หากพบว่าครอบครัวใดมีเด็กพิการล่ะก็ จะต้องถูกจับสังหารทิ้งทันที และเมื่อเด็กอายุ 18-30 ปี จึงจะถูกส่งเข้าไปยังกองทัพเพื่อเข้าฝึกวิชาทหาร ด้วยเหตุนี้กองทัพสปาร์ต้าจึงเข็มแข็งที่สุดในกรีก...

สปาร์ต้านั้นมีพลเมืองประมาณ 10,000 คน และปกครองรัฐด้วยกิจการทางทหาร กองทัพสปาร์ต้ามักจะไม่ออกไปนอกดินแดนของตนเนื่องจากกลัวว่าพวกทาสจะก่อการกบฎ เนื่องจากการใช้แรงงานทาสที่หนักนั่นเอง...สปาร์ต้ามีระบบการปกครองที่ประกอบด้วยกษัตริย์ 2 พระองค์ ปกครองร่วมกัน มีรัฐสภาผู้เฒ่า และสมัชชาประชาชน แต่สมัชชาไม่ได้แสดงความคิดเห็น แต่เมื่อกษัตริย์ขอความคิดเห็นล่ะก็จะตอบเพียงแค่ว่า "เห็นด้วย" หรือ "ไม่เห็นด้วย" เท่านั้น...

สงครามเธอร์โมไพลา เป็นหนึ่งในสงครามเปอร์เซีย - กรีก สงครามเธอร์โมไพลานี้เริ่มตั้งแต่ กษัตริย์ เซอร์ซีส (Xerxes)โอรสของกษัตริย์ดาริอุส (Darius)(คนล่ะดาริอุสกับคนที่ทำสงครามกับ อเล็กซานเดอร์มหาราชนะครับ)กษัตริย์ผู้ครองจักรววรดิเปอร์เซีย ...ในปี 480 ก่อน ค.ศ. กษัตริย์เซอร์ซีสก็พร้อมจะทำสงครามกับหมู่มวลชาวกรีก จึงได้ยกทัพทางบกลงมาทางตอนเหนือของกรีก และยกทัพเรือมาตามชายฝั่งทะเลของกรีกด้วย...

นครรัฐของกรีกรู้ตัวว่าหากไม่ร่วมมือกัน นครรัฐต่างๆ จะต้องถูกทำลายไปทีละเมืองแน่ๆ จึงรวมกำลังส่งกองทัพไปดักอยู่บริเวณเส้นทางแคบๆ ในบริเวณภูเขา ชื่อช่องแคบคือ เธอร์โมไพลา (Thermopylae)ซึ่งกองทัพที่เดินทางมาทางบกจะต้องผ่านมาทางบริเวณนี้...แต่เมื่อกองทัพของกรีกพบว่ายังมีกองทัพเรือมุ่งหน้าไปยังนครรัฐที่ไม่มีกองกำลังป้องกันตนเอง จึงยกทัพไปป้องกันบริเวณชายฝั่ง ทิ้งแนวหลังที่ช่องแคบเธอร์โมไพลาไว้ให้กับ กองทัพสปาร์ต้าเพียง 300 คนเท่านั้น...

แต่กองทัพสปาร์ต้าก็ได้ทำการสู้รบกับกองทัพที่เดินทางมาทางบกของเปอร์เซีย และได้ฆ่าทหารชาวเปอร์เซียไปได้หลายพันคน แต่มีผู้ทรยศหักหลังบอกเส้นทางลับให้กองทัพเปอร์เซียเดินทางผ่านมาตามแนวเขา กษัตริย์เซอร์ซีส จึงได้แบ่งกองทัพจำนวนหนึ่งไปตามเส้นทางนั้นและโอบล้อมโจมตีกองทัพสปาร์ต้าอีกทางหนึ่ง แต่กองทัพสปาร์ต้าก็ไม่ได้ยอมแพ้ได้สู้จนสิ้นชีวิตหมดทุกคน...

สุดท้ายสงครามจบลงที่การรบทางทะเล เนื่องจากกรีกนั้นมีเรือรบที่ทรงอานุภาพกว่าเปอร์เซีย เมื่อรู้ว่าไม่มีทางชนะศึกทางบกแล้ว กรีกจึงได้ทิ้งเมือง และอพยพผู้คนออกมานอกเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้เมืองถูกทำลาย...จากนั้นจึงเปิดศึกกันทางทะเล โดยฝ่ายกรีกได้รับชัยชนะ จากกองทัพเรือที่มียุทธวิธี และประสิทธิภาพของเรือที่ดีกว่า...

ในปี 431 ก่อน ค.ศ. นครรัฐเอเธนส์ได้เกิดขัดแย้งกับสปาร์ต้าทำให้มีสงครามเกิดขึ้นนานถึง 20 ปี สุดท้ายฝ่ายสปาร์ต้าได้รับชัยชนะเนื่องจากกองทัพเรือของเปอร์เซียได้เข้ามาช่วย จากนั้นนครรัฐเอเธนส์ก็ล่มสลาย และอีกไม่นานก็ได้เข้าสู่ยุคจักรวรรดิ กรีก-มาซิโดเนีย ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช...

ผมเชื่อว่า เหตุที่กองทัพชาวสปาร์ต้าที่เข็มแข็งนั้นยกทัพไปช่วยรัฐกรีกอื่นเพียง 300 คน เพราะชาวสปาร์ต้านั้นไม่สนใจในกิจการภายนอกดินแดนของตน และไม่สนว่าแผ่นดินกรีกจะเป็นอย่างไร หากกองทัพเปอร์เซียบุกมาถึงรัฐสปาร์ต้าก็คงจะต้านไว้ได้...แต่หากยกทัพไปช่วยจริงจังก็คงจะร่วมมือกับรัฐอื่นในกรีกเอาชนะกองทัพเปอร์เซียที่มารุกรานได้ อีกทั้งชาวสปาร์ต้ายังต้องระแวงกับพวกทาสภายในเมืองอีก จึงต้องคิดให้ดีหากต้องยกไปช่วยรัฐอื่นๆ ...หวังว่าคนที่ดูหนังมาแล้ว คงจะไม่มีอคติกับสปาร์ต้านะครับ...

การที่ได้อ่านประวัติศาสตร์จริงมาก่อนแล้วค่อยไปดูหนังแล้ว ผมว่าจะเป็นการเพิ่มอรรถรสในการดูหนังมากยิ่งขึ้น เพราะจะเข้าใจในเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่ตอบไม่ได้เวลากำลังดูอยู่ได้บ้าง และเข้าใจในความเป็นไปของมัน...หวังว่าทุกท่านคงจะได้ดูหนังเรื่องนี้ด้วยความสนุกมากขึ้นนะครับ... ^ ^

Monday, March 19, 2007

เพลง Don't Love U No More...

ศิลปินที่ผมชื่นชอบมากที่สุด กับน้ำเสียงที่ไพเราะของ Craig David คนนี้กับเพลงใหม่ Don't Love you no more...เพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับปัญหาความรักของคน 2 คนที่ไม่ยอมแก้ไขปัญหาที่มีต่อกัน จนปล่อยให้มันนานจนแก้ไขอะไรไม่ได้ และสุดท้ายอีกฝ่ายนึงก็จากไปด้วยคำว่า "ฉันไม่อาจจะรักคุณได้อีกแล้ว"

เพลง : Don't Love You No More... (I'm Sorry)
ศิลปิน : Craig David

[VERSE 1] For all the years that I've known you baby
I can't figure out the reason why lately you've been acting so cold
(didn't you say)
If there's a problem we should work it out
So why you giving me the cold shoulder now
Like you don't even wanna talk to me girl (tell me)
Ok I know I was late again I made you mad and then it's throwing the pan
But why are you making this drag on so long (i wanna know)
I'm sick and tired of this silly games (silly games)
Don't figure that I'm the only one here to blame
It's not me here who's been going round slamming doors
That's when you turned and said to me
I don't care babe who's right or wrong
I just don't love you no more.

[CHORUS] Rain outside my window pouring down
What now, your gone, my fault, I'm sorry
Feeling like a fool cause I let you down
Now it's, too late, to turn it around
I'm sorry for the tears I made you cry
I guess this time it really is goodbye
You made it clear when you said
I just don't love you no more

[VERSE 2] I know that I made a few mistakes
But never thought that things would turn out this way
Cause I'm missing something now that your gone (I see it all so clearly)
Me at the door with you inner state (inner state)
Giving my reasons but as you look away I can see a tear roll down your face
That's when you turned and said to me
I don't care babe who's right or wrong
I just don't love you no more.

[CHORUS] Rain outside my window pouring down
What now, your gone, my fault, I'm sorry
Feeling like a fool cause I let you down
Now it's, too late, to turn it around
I'm sorry for the tears I made you cry
I guess this time it really is goodbye
You made it clear when you said
I just don't love you no more

[BRIDGE] Don't say those words it's so hard
They turn my whole world upside down
Girl you caught me completely off guard
On the night you said to me
I just don't love you more.

[CHORUS 2X] Rain outside my window pouring down
What now, your gone, my fault, I'm sorry
Feeling like a fool cause I let you down
Now it's, too late, to turn it around
I'm sorry for the tears I made you cry
I guess this time it really is goodbye
You made it clear when you said
I just don't love you no more ...



ติดอยู่ตรงกลาง...

วันนี้ตั้งแต่ผมตื่นเช้ามาล่ะ รู้สึกว่าอยู่ดีๆ เรื่องที่แทบจะกลบให้มันมิดไปได้หลายวันมันกลับมาในหัวคิดผมอีกครั้ง ทำให้ผมรู้สึกกลุ้มกว่าเดิม และไม่รู้ว่าจะหาทางออกไปยังไง เรียกว่ามัน "ติดอยู่ตรงกลาง" กับปัญหาที่ตอนนี้ผมหาทางแก้มันไม่ได้ จะหนีก็หนีไม่พ้น จะไม่ทำอะไรเลยมันก็ไม่ได้...

ปัญหาที่ว่านี้ มันเป็นปัญหาในชีวิตประจำวันของผมที่ผมต้องเผชิญกับมัน และต้องแก้ไขมัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว แฟน การเรียน รวมทั้งเรื่องในอนาคตของผมเอง...ผู้รู้ว่าทุกคนย่อมมีปัญหาเหมือนกัน บางคนเจอหนักหนากว่าผมซ่ะอีก แต่เค้าก็เอาตัวรอดมาได้ แต่ผมมันไม่ใช่อย่างนั้น...

ผมอาจจะเป็นคนที่คิดมากเกินไป ชอบเก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาคิดอยู่เรื่อย เกินความจำเป็น...เพราะผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทุกๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต...

ในครอบครัว ผมเองก็ต้องเป็นคนที่ต้องออกความคิดให้กับพ่อแม่ของผม งานนี้ต้องคิดให้ถี่ถ้วน ผมเคยต้องตัดสินใจอนาคตของน้องผมเองทุกอย่าง เคยออกปากให้น้องไปเรียนไกลๆ บ้านตอนช่วง ม.ปลาย ตอนนั้นผมตามใจน้อง เลยขอพ่อแม่ให้ สุดท้ายมันก็เกิดเรื่องขึ้นกับเพื่อนๆ น้องผม ทำให้พ่อผม ต้องเรียกน้องกลับมา...ตอนนั้นพ่อผมพูดกับผมคำหนึ่งว่า "ไม่น่าเชื่อต้นเลย" เหมือนกับว่าถ้าไม่เชื่อผม เรื่องนี้ก็คงไม่เกิด...

ต่อมาผมก็ต้องจัดการเรื่องเรียนให้น้องอีกครั้ง เพราะหากปล่อยไว้ น้องผมอาจจะเคว้งก็ได้ เลยต้องหาคณะที่มันเรียนแล้วเหมาะสมมากที่สุดคือ คณะนิเทศศาสตร์ จนน้องผมสอบติดเข้าไปเรียนได้...แต่ผมไม่ดีใจเลยที่ผมต้องเป็นคนกำหนดชีวิตของน้องผมเอง เวลาเกิดปัญหาขึ้นมา ผมก็ต้องตัดสินใจ บางทีก็ต้องเด็ดขาด น้องผมเคยพูดกับผมทั้งน้ำตาว่า "พี่ต้น อย่าทำอย่างนี้กับน้องเลย เห็นใจน้องบ้างเถอะ" ผมรู้สึกไม่ดีเลย สงสารมัน แต่ด้วยความที่ต้องรับผิดชอบกับทุกสิ่ง และอยากให้ได้ดี เลยต้องทำ...

แต่ตอนนี้ดีแล้ว ผมไม่ต้องรับผิดชอบกับทุกอย่างแล้ว เพราะผมเริ่ม ตัดๆ อะไรทิ้งออกไปได้แล้ว...พ่อผมเคยพูดกับผมว่า "ต้นไม่ต้องทำอะไรแล้วนะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของพ่อจัดการดีกว่า" ผมรู้สึกเสียใจมากๆ...ตอนนี้ผมเลยไม่ค่อยคิดอะไรถึงเรื่องครอบครัวแล้ว แต่มันจะอดไม่ให้คิดถึงได้ยังไง...

เรื่องแฟน ผมก็เป็นห่วงเค้าเรื่องเรียน เรื่องการใช้ชีวิต รวมทั้งเรื่องเงินด้วย ผมรู้สึกเครียดมากๆ และเหมือนว่าจะไปปรึกษาใครไม่ได้...ผมทำอะไรๆ ให้มันดีขึ้นไม่ได้เลย

ทั้งๆ ที่อีกไม่กี่เดือน ผมก็ต้องเรียนต่อ ปริญญาโทเหมือนกัน แต่ก็มีทั้งปัญหาเข้ามาไม่หยุดหย่อน มันเหมือนจะเป็นแต่ปัญหาเล็กๆ แต่มันเข้ามาหาผมเยอะเหลือเกิน...ผมเคยถามตัวเองว่า ที่ตัดสินใจเรียนนี่มันดีแล้วหรือ คุ้มค่าที่จะเสียเวลาแล้วหรือ...

ในอนาคตผมก็คิดเหมือนกันว่าอยากทำอะไร แต่ตอนนี้มันยังไปไหน ไม่ได้ มองอะไรไม่เห็นทางอยู่เลย...เหมือนกับที่ผมเขียนไว้ตอนแรกว่า ผมติดอยู่ตรงกลาง หาทางไปไม่ได้...ผมเห็นว่าทุกสิ่ง ทุกอย่าง กำลังจะดำดิ่งลงไป ผมอยากช่วยคว้ามันไว้ไม่ให้จมลงไป ก็เลยต้องเอาตัวเข้าไปคว้ามันไม่ให้จม แต่บางทีแล้วการปล่อยให้มันจมๆ ลงไป อาจเป็นเรื่องที่ดีก็ได้...

ผมไม่อยากจะรับผิดชอบอะไรๆ ต่ออะไรอีกแล้ว...ไม่อยากคิด ไม่อยากช่วยคนอื่นต่อไปอีกแล้ว ปกติแล้วผมเป็นคนที่คิดถึงผู้อื่นก่อนเสมอ แต่วันเวลาที่ผ่านๆ มามันทำร้ายจิตใจผมมากพอแล้ว...ผมอยากคิดถึงตัวผมเองบ้าง สภาพผมเองตอนนี้ทำอะไรๆ ก็ต้องคิดก่อน ผมอยากจะทำอะไรตามใจตัวเอง อยากเป็นตัวของตัวเอง และทำอะไรที่ตัวเองอยากทำบ้าง แต่ผมทำมันไม่ได้...ผมไม่กำลังพอที่จะทำตามอย่างที่ผมต้องการ

ผมเคยคิดถึงอนาคตว่า ผมไม่อยากแต่งงาน ผมไม่อยากจะรับผิดชอบสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นในโลกนี้อีกแล้ว...อยากมีชีวิตอยู่เพื่อตัวผมเองเท่านั้น แต่ผมไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม สุดท้ายผมอาจจะต้องเหี่ยวแห้งตายไปก็ได้...

แต่ผมโชคยังดีที่ได้พบผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อคิดถึงเธอเมื่อไหร่ผมรู้สึกว่าผมมีความสุข สมองปลอดโปร่ง โล่งใจ ได้ในทันที...เมื่อก่อนผมเคยบอกว่าเธอว่า "ขอบคุณนะ สำหรับทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง" เธอก็งงๆ แล้วก็บอกว่าเธอไม่ได้ทำอะไรให้ผมเลย...แต่เธอคงไม่รู้หรอกว่า เธอได้ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะอยู่บนโลกใบนี้ และมีรอยยิ้มต่อไปได้...

ทุกๆ สิ่งที่เคยผ่านมาในชีวิตของผมทำร้ายผมตลอดมา มันเริ่มต้นด้วยความเครียด และจบด้วยความทุกข์เสมอ มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เริ่มด้วยความสุข และผมหวังว่ามันจะจบด้วยความสุขเช่นเดียวกัน...แต่แม้ว่าสักวันมันจะต้องจบลงด้วยความเศร้า...แต่รู้ไว้เถอะว่า ผมจะยิ้มได้ทั้งน้ำตาล่ะ...

Sunday, March 18, 2007

สงบศึก และ สงบสุข...

วันนี้ผมก็ยังคงมาแปลกเช่นเดิม ในหัวข้อเรื่อง "สงบสุข และ สงบศึก" เนื่องจากอยากชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้สงครามสงบศึก และใช้การปกครองเพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข...

คำสองคำนี้มาจากคัมภีร์จีนสมัยโบราณที่ยังมีการสู้รบกันเพื่อชิงความยิ่งใหญ่ และชิงแผ่นดินกัน ทำให้เกิดกลียุค บ้านเมืองระส่ำระสาย ประชาชนต้องเดือดร้อน ขาดความแน่นอนในการมีชีวิตอยู่ จะตายวันตายพรุ่งก็มิอาจจะรู้ได้...

เนื่องจากเป็นคัมภีร์สมัยโบราณ ซึ่ง ไม่เหมาะกับยุค อิสรภาพและเสรีภาพอย่างเช่นทุกวันนี้ แต่เชื่อผมเถอะว่า ลึกๆ แล้วมนุษย์เรามีกิเลสตัณหาอยู่ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เชื่อเลยว่า โลกนี้จะมีคำว่า "สันติภาพ"เกิดขึ้นได้... และเราก็จำเป็นต้องเรียนรู้จากอดีต เพื่อนำมาเป็นบทเรียนและแก้ไขในสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ทำผิดพลาด...

คำว่า"สงบศึก"นั้น คือ การให้ผู้ที่มีความสามารถ ใช้ความรุนแรง การใช้กำลัง อาจเป็นอาวุธ การทหาร ยึดหลักยุทธศาสตร์และพิชัยสงครามที่พลิกแพลงเพื่อพิชิตและยุติสงคราม...

ไม่มีบ้านเมืองใดในโลกนี้ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ที่ไม่เคยก่อสงครามเพื่อสร้างประเทศของตนเลย เช่น สมัยกรีก ก็มีการสู้รบระหว่างแคว้นข้างเคียง เอคงความเป็นชนชาติของตนเองไว้ สมัยโรมัน ชาวโรมันก็ต้องลุกขึ้นต่อกรกับทรราชย์ สถาบันกษัตริย์โดย เรมุส-โรมิลุส จนเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในโลก หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา เองก็ต้องทำสงครามชิงดินแดน ก่อนที่จะเป็นประเทศมหาอำนาจอย่างทุกวันนี้...

เปรียบได้กับธรรมชาติ ซึ่งหลายๆ คนอาจจะได้ทราบกันดีว่า โลกเราเคยผ่านยุคน้ำแข็งมาหลายยุคแล้ว ยุคน้ำแข็งที่ว่าก็คือการลงโทษโดยธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้สภาพแวดล้อมที่ไม่ดีทั้งหลาย กลับมาสู่ความเป็นปกติ...หากไม่มียุคน้ำแข็งที่ปกคลุม และเสมือนล้างโลกใหม่แล้ว โลกก็คงจะเสื่อมทรามลงกว่าที่เห็นมาก...

ส่วนคำว่า "สงบสุข"นั้น คือ การให้ผู้ที่มีทั้งสติปัญญาและคุณธรรมสูง ใช้กุศโลบายทางการเมืองการปกครอง ปกครองประชาชนให้มีความสงบสุขสืบไป...

หลายคนคงเคยได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับสมัยก่อนที่มีกฎหมายการปกครองที่เข้มงวดมาบ้าง ซึ่งจะยกตัวอย่าง
ถึงบุคคลของจีนท่านหนึ่ง ชื่อว่า ชานยาง ต่อมาได้ตั้งชื่อเมืองเป็นเกียรติกับคนๆ นี้ว่า เมือง เซียงหยาง...ชานยางได้ใช้กฎหมายปฎิรูปของเขาเอง ทำให้ภายในประเทศไม่มีโจรผู้ร้าย ราษฎรทุกคนขยันขันแข็ง มีระเบียบวินัย ข้าวเปลือกเต็มยุ้งฉาง กองทัพเข้มแข็งมีกำลังเกรียงไกร...

แต่ด้วยความที่ ชานยาง เป็นคนที่หยิ่งผยอง สร้างความแค้นไว้กับคนมากมาย ไม่ได้ปกครองบ้านเมืองด้วยคุณธรรม จนเมื่อสิ้นวาสนาเปลี่ยนแผ่นดิน ได้ถูกจับมาลงโทษโดยการใช้ ห้าม้าแยกร่าง...

สรุปแล้ว ต้องใช้สงคราม เพื่อ สงบศึก จากนั้น จึงใช้ผู้ที่มีปัญญาและคุณธรรม ปกครองบ้านเมืองนั้นให้ สงบสุข ต่อไป...

ซุนวู ปฐมาจารย์แห่งพิชัยสงครามจีนนั้น ก็ไม่ได้ต้องการให้มีสงครามฆ่าฟันกัน แต่ด้วยความจำเป็นของยุคนั้น ทำให้ต้องเขียนตำราพิชัยสงคราม 13 บท ให้กับเจ้าเมืองเพื่อนำไปยุติสงครามระหว่างแคว้น...

แต่บ้านเมืองยุคนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปจากยุคโบราณมาก...แต่อย่างน้อยหวังว่าจะได้เห็นคุณค่า คำของคนโบราณ ซึ่งน่าคิด และได้สอนไว้ให้กับคนรุ่นหลัง ได้นำไปคิด ปรับใช้ ให้เหมาะกับยุคสมัยต่อไป...

วันนี้เขียนเครียดนะครับเนี่ย...ทำให้อ่านแล้วไม่สนุกเอาซ่ะเลย...งั้นพอแค่นี้ก่อนแล้วกันครับ...ขอให้ทุกคนที่อ่านมีความสุขครับ...เอิ๊กๆๆ...
By.gazebosky

Friday, March 16, 2007

การหนีคือยอดกลยุทธ์...

รู้สึกว่าช่วงนี้เริ่มร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนกลางวันแทบไม่อยากจะออกไปไหน อยากหาอะไรเย็นๆ ดื่ม เพราะอากาศช่วงนี้มันช่างวิกฤตจริงๆ วันนี้ก็มีข่าวรายงานมาว่า ช่วงนี้ทางด้านขั้วโลกฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูงที่สุดในรอบ 127 ปี ตั้งแต่มีการบันทึกไว้ สรุปได้ว่า อนาคตข้างหน้า คนเราคงต้องหาทางคลายร้อนด้วยการแลบลิ้นทิ้งไว้แน่ๆ... ใครจะไปรู้เนอะ...

ฟ้าใสขึ้นบ้างหลังจาก 3-4 วันก่อนหมอกควันไฟป่า ปกคลุม ทำให้เย็นๆ ได้บ้างแต่ก็หายใจไม่สะดวก ส่วนผมน่ะหรือ? ไม่ได้ออกไปไหนกะเค้าเลย วันๆ อยู่แต่ในห้อง นั่งเล่นเกมส์ เล่นเน็ต ฟังเพลงไปวันๆ...เอิ๊กๆ..

อยากจะหาอะไรๆ ที่มันสบายๆ ในช่วงหน้าร้อนทำ แบบที่ชอบๆ ด้วย ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี อยากทำอะไรก็ขี้เกียจไปหมด...ว่าแล้วก็หาอะไรมานั่งเขียนดีกว่า เพราะเมื้อวานผมนั่งเขียน blog ลงในนี้ตั้งกะบ่าย 2 พอเขียนเสร็จปุ๊บก็มาดูเวลา อ้าว!!! เวรกรรม 5 โมง ครึ่งแล้วรึ...ว่าไปแล้วมันก็เพลินดี...

หัวข้อวันนี้ก็ยังไม่พ้นอะไรๆ ที่น่าเบื่อสำหรับบางคน แต่ผมว่ามันน่าคิดดีนะ ว่าสมัยโบราณคนสมัยนั้นเค้าคิดกันได้ยังไง...อย่างที่หัวข้อวันนี้ "การหนีคือยอดกลยุทธ์" อยู่ใน 36 กลยุทธ์ที่รวบรวมมาตั้งแต่สมัยจีนโบราณช่วงยุค ชุนชิวนู้น ไม่นานหรอกครับประมาณ เกือบ 770 ปีก่อน ค.ศ. นู้นล่ะ จนเมื่อปี ค.ศ.1947 จึงมีจัดการจัดทำเป็นรูปเล่มขึ้นมาให้คนรุ่นหลังได้รู้กันล่ะ...

สาระสำคัญของกลยุทธ์ก็คือ " หากประสบสภาวะการณ์ที่ไม่สู้ดี และคิดว่าไม่สามารถจะเอาชนะได้แล้วก็ควรจะรู้จักหลบ รู้จักเลี่ยง พึงสู้เมื่อคิดว่าตนแข็งแกร่งกว่า สามารถเอาชนะได้แน่นอน หากรู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ควรจะหลบเลี่ยง กลับไปรวบรวมความคิดแผนการณ์ไว้กลับมาสู้ใหม่"


แล้วถ้าหนีเนี่ย จะไม่ถูกดูแคลนว่า ขี้ขลาดหรือ?...ในที่นี้เค้าก็บอกไว้อย่างมีเหตุผลครับ ว่า...

หากถึงสถานการณ์ที่คับขัน ต้องเอาตัวรอดแล้ว จะมีทางออกให้เลือกอยู่ 3 ทางคือ ยอมแพ้, เจรจาต่อรองกัน และ หนี โดยที่...

การยอมแพ้ คือ การพ่ายแพ้อย่างที่สุด ไม่สามารถพลิกเกมกลับมาได้อีก...

การเจรจาต่อรอง เสมือน การพ่ายแพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยังพอจะพลิกเกมได้ แต่ก็ยากเพราะต้องตกเป็นรองอีกฝ่าย ในการเจรจา...

แต่ถ้า หนี ยังสามารถที่จะกลับไปคิดแผน เตรียมตัวกลับมาพลิกสถานการณ์ได้อยู่...

เชื่อไหมครับว่ากลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์สุดท้าย คืออันที่ 36 จากทั้งหมดของ 36 กลยุทธ์นี่ เป็นเหมือนกลยุทธ์ที่สามารถพลิกสถานการณ์ หากทำผิดพลาดอะไรไปยังสามารถเปิดช่อง สร้างทางรอดให้กับเราเองได้...จะลองยกตัวอย่างบุคคลใน 3 ก๊กให้ลองฟังดูบ้าง...

เล่าปี่ หนีมาตลอดช่วงอายุ 20 ยัน 40 กว่าๆ หนีไปพึ่งคนนู้นคนนี้ เจอคนลอบฆ่า ลอบเอาชีวิตมานับไม่ถ้วน ได้เมืองมาก็โดนคนอื่นเค้าโกงไป เรียกว่าหนีระหก ระเหินไปทั่วเลย แต่พอได้ขงเบ้งมาช่วยงาน ก็กลับมายิ่งใหญ่ได้...

โจโฉ ตอนหนีทัพเรือ ก็หนีแบบไม่คิดชีวิต ยกทัพไปเป็นล้าน แต่เหลือกลับมาไม่ถึง 20 ชีวิต ทิ้งลูกน้องที่บาดเจ็บเอาตัวรอด จนกลับมามีชีวิตสู้กันได้ใหม่...

จริงๆ แล้วปัญหาทุกปัญหาก็ต้องย่อมจะมีทางออกของมัน เพียงแต่เราจะหามันเจอไหม.. เพียงแต่อย่าไปคิดสั้น หุนหันพลันแล่น ตัดสินใจโดยไม่คิดให้รอบคอบ หนีปัญหา...ในที่นี้บอกไว้ว่า "ให้หนีออกไปคิดอะไรๆ ให้ถี่ถ้วน แล้วค่อยกลับมาสู้กับมันใหม่"

สู้ๆ ครับ...เอิ๊กๆๆ


By.gazebosky

Thursday, March 15, 2007

เพลง หวังใจ - Hut & The Golitan

เพลง : หวังใจ
ศิลปิน : Hut & The Golitan
อัลบั้ม : เพลงประกอบละคร เพลิงพายุ

ทุกๆ ครั้งในบางคราว จิตใจนั้นต้องการใครสักคนนะ
โหยหารักไออุ่น จากใครนั้นสักคนหนึ่งไว้ให้นะ นั่นแหละที่ฉันนั้นต้องการ...
*หวังฉันหวังสักวันจะมีผู้ใดเข้าใจ มอบดวงใจและความรักให้กันเมื่อยามชิดใกล้
โอ้ โอ ความรัก อยู่แห่งหนใด ใยแสนไกล ฉันอยากรู้...
(ดนตรี)
เวลาที่เลยผ่านไม่เคยพบไม่เคยพานกับความรัก
รักนั้นช่างยิ่งใหญ่ หากมีไว้ให้ครอบครอง จะสุขใจ แต่เหตุใดฉันจึงไม่เคย...
ซ้ำ * (ดนตรี)
แต่เหตุใดฉันจึงไม่เคย...
ซ้ำ *
รักจ๊ะ รักอยู่ไหน หากอยู่ไม่ไกลฉันต้องการ
เจ้าความรักที่แสนหวาน โปรดช่วยมากับฉันที
อยากจะรัก อยากมีรัก กับใครสักคน สักที ได้ไหม อยากรู้..
(ดนตรี)


























By.gazebosky

การต่อรอง...

มาถึงเรื่องที่น่าจะเป็นประโยชน์ แล้วได้คิดอะไรแก้เซ็งกันดีกว่า...วันนี้ผมก็มีเรื่องการต่อรอง เข้ามาคุยๆ กัน แน่นอนว่าคนเราทุกคนย่อมเคยแลกเปลี่ยน ซื้อขายของมาทั้งนั้น และน่าจะมีสักครั้งในชีวิตที่ได้ "ต่อราคา" ของให้มีราคาถูกลงกว่าราคาขายเดิม...

แต่หากต่อได้แบบลดสุดๆแล้ว คุณดันไม่ซื้อล่ะก็ จะเป็นการน่าเกลียดนะครับ คนขายอาจจะด่าบิดาคุณก็ได้ สรุปแล้วหากมีการต่อเกิดขึ้น หากได้ลดตามที่เราต่อแล้ว เราก็จำเป็นต้องซื้อ แต่หากต่อไม่ได้ตามที่เราต้องการล่ะก็ เราจะไม่ซื้อก็ได้ครับ เพราะฉะนั้น การต่อก็เป็นดาบสองคมได้เหมือนกันนะ

จากเรื่อง "ทฤษฎีเกม" ที่ผมเคยเขียนมาแล้วเมื่อหลายวันก่อน วันนี้ก็จะยกมาทั้งเรื่องทฤษฎีและการคิดของผมประกอบกันด้วย...

ปกติเวลาคนเราจะควักเงินจากกระเป๋ามาซื้อของสักอย่างที่เราพอใจแล้วล่ะก็ จะมีหลักการง่ายๆ อยู่ครับ นั่นคือ "คนซื้อ จะต้องเห็นว่า สินค้านั้นมีคุณค่ามากกว่าราคาขายของมัน หรือ ราคาจริงของมัน จึงจะยอมซื้อ ในขณะที่คนขายก็ต้องเห็นว่าสินค้าชิ้นที่ขายมีคุณค่าน้อยกว่าเงินที่จะได้รับ จึงจะยอมขายออกไป"

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็จะมีเรื่อง เวลา สถานการณ์ มาเกี่ยวข้องด้วย เช่น เป็นของขาดตลาด เป็นของหายาก ซึ่งเป็นทั้งการเพิ่ม และ ลดคุณค่า หรือราคาของสินค้านั้นด้วย...

มาถึง "การต่อรอง" แบ่งผลประโยชน์กันบ้างนะครับ... สมมติว่า มีนักคิดค้น และ นายทุนอยู่คู่หนึ่งจะตกลงทำธุรกิจกัน โดนนักคิดค้นเป็นคนออกความคิด หรือขายไอเดีย ส่วน นายทุนเป็นคนออกเงินให้ทำ โดยที่ต่างฝ่ายต่างมีต้นทุนทางความคิด และเงินเท่ากับ 10 ล้านบาท รวมเป็น 20 ล้านบาท

ในขณะที่สินค้าจากเงินและความคิดนั้นออกสู่ตลาดทำเงินได้ 30 ล้านบาทขึ้นมา...ดังนั้นต้นทุน 20 ล้านบาทก็ต้องคืนให้กับทั้งสองฝ่ายๆ ละ 10 ล้านบาท ...แต่อีก 10 ล้านบาทที่เป็นกำไรล่ะ จะทำอย่างไร จะตกลงกันอย่างไร...

จะเห็นว่าทางที่ดีที่สุดคือการแบ่งเงินกันคนล่ะ 5 ล้านบาท เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด...แต่ช้าก่อน คุณไม่อยากจะได้เยอะกว่านี้หรือ ฝ่ายนักคิดอาจบอกว่า "ฉันต้องลงแรง ความคิดไปเยอะ เหนื่อยกว่านายทุนตั้งเยอะ ฉันควรจะได้เยอะกว่า" ในขณะที่นายทุนก็บอกว่า "ฉันต้องลงทุนเป็นเงิน มหาศาล บวกกับความเสี่ยงอีก ฉันควรจะได้เยอะกว่าสิ" ดังนั้น "การต่อรองผลประโยชน์" ระหว่าง ทั้งสองฝ่ายก็ได้เริ่มต้นขึ้น...

เป็นคุณๆ จะทำอย่างไร ให้ได้ผลประโยชน์ เยอะกว่าอีกฝ่ายล่ะ...

ทฤษฎีเกม บอกไว้ว่า "ฝ่ายที่ยื่นข้อเสนอก่อนจะได้เปรียบ" เช่น นายทุนอาจจะบอกว่า แบ่งกัน 1:9 นายทุนได้ 9 ส่วน คือ นายทุนได้ 9 ล้าน ในขณะที่ นักคิดค้นได้แค่ 1 ล้าน ก็เป็นไปได้ เพราะถ้าหากนักคิดยอม นายทุน ก็จะได้ส่วนแบ่งตั้ง 9 ล้าน แต่หากนักคิดไม่ยอม การแลกเปลี่ยนกำไร ก็จะไม่เกิดขึ้น และจะมีการต่อรองรอบหน้าๆ เกิดขึ้น...เสมือนนายทุนเป็นคนคุมเกมนี้อยู่นั่นเอง

และยิ่งหากนักคิดค้น มีสิทธิบัตรทางปัญญา ที่มีอายุเวลา จำกัดล่ะก็ เขาก็ไม่มีทางเลือกที่จะต้องยอม นายทุน เพราะถือว่า "กำขี้ดีกว่ากำตด" สังเกตได้ว่า นายทุนทั้งหลาย จึงรวยเอาๆ ไง เพราะ เขาไม่มีเวลามาผูกมัด เหมือนนักคิด...เพราะฉะนั้น เรื่องของ "เวลา" ก็จะเข้ามา และใครที่สามารถ "รอได้นานกว่า" ก็จะได้เปรียบในการต่อรองมากขึ้น

กลยุทธ์ที่ดูก้าวร้าว ให้อีกฝ่ายสูญเสียมหาศาลได้นี้ เรียกว่า "กลยุทธ์ตอกฝาโลง" หรือ Take it or leave it โดยเป็นฝ่ายกำหนดราคา ขึ้นมา และอีกฝ่ายไม่สามารถต่อรองได้ ซึ่ง จะมีแค่ ซื้อ หรือไม่ซื้อ ยอมหรือไม่ยอม เอาหรือไม่เอา เกิดขึ้นเท่านั้น จะไม่มีการมาต่อรองรอบสอง กลยุทธ์นี้เห็นกันง่ายๆ ในห้างสรรพสินค้าไงครับ ที่มีการติดราคาไว้เสร็จสรรพ สังเกตไหมครับว่า คนที่ซื้อของในห้างสรรพสินค้าไม่มีสักคนที่ต่อราคาของ จริงไหมครับ...ไม่นับพวกที่เป็นโบ๊เบ๊ในห้างนะครับ

กลยุทธนี้จะใช้ได้ผลดี ในกรณีของคนที่มีอำนาจ และอิทธิพลสูง ยิ่งคุณมีอำนาจ มากเท่าใด ก็สามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้ดีเท่านั้น เพราะอีกฝ่ายจะรู้ว่า คุณมีอิทธิพล และจะไม่มีการมาต่อรองรอบสอง เกิดขึ้นแน่นอน...

เพราะฉะนั้นคุณไปซื้อของล่ะก็จะต้องเป็นฝ่าย "ยื่นข้อเสนอก่อน" เช่นขอลดจาก 1000 เป็น 100 บาท ไม่ใช่ถามว่า "ชิ้นนี้ลดไหม" เป็นอันขาดนะครับ และต้องไม่พยายามให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าคุณอยากได้สินค้านี้มากแค่ไหน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพในเรื่อง "เวลา" ของคุณลดลง อีกฝ่ายรู้ไต๋ ของคุณได้ เสียเปรียบนะครับ

แต่ถ้าคุณได้ผลการต่อรองเป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็ควรจะพอนะครับ อย่าโลภเกินไป อาจจะกำตด ได้...ส่วนต่างระหว่าง ราคาจริง - ราคาซื้อที่คุณต่อรองได้นั้น = ผลประโยชน์จากการต่อรอง ของคุณ ซึ่งจะได้มากน้อยเท่าใดก็แล้วแต่คุณจะเป็นคนทำ และกลยุทธ์ที่คุณใช้...

สุดท้ายครับ...ไม่ควรจะเอาผลประโยชน์จากผู้อื่นมากแบบขูดเลือดขูดเนื้อคนนะครับ ที่อยากให้รู้ก็คือ ทำให้คุณไม่เสียเปรียบคน และ รักษาผลประโยชน์ ของตัวเอง ในโลกที่โหดร้ายใบนี้ได้เท่านั้นเองครับ...ไว้คราวหน้า จะเอาเรื่องที่น่าสนใจมาเขียนอีกนะครับ...

ผลแพ้ชนะเป็นเรื่องที่รู้ก่อนทำสงคราม...

หายไปหลายวันครับเนื่องจากเน็ตล่มอย่างแรง ทำให้เข้ามาเขียน blog ของตัวเองไม่ได้ ให้ตายสิตอนคิดอะไรออก อยากจะเขียนเน็ตดันไม่ดี แต่พอไม่รู้จะเขียนอะไร เน็ตดันลื่นผิดปกติ เวงกรรม...

วันนี้ก็มาในหัวข้อ "ผลแพ้ชนะเป็นเรื่องที่รู้ก่อนทำสงคราม" พอดีได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพิชัยสงครามของซุนวูและเห็นว่ามีประโยชน์จึงเอามาเขียนแก้เซ็ง...

ซุนวูกล่าวว่า "ผลแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องที่รู้ก่อนทำสงคราม และได้ถูกกำหนดไว้ก่อนแล้วว่าฝ่านใดจะแพ้ ฝ่ายใดจะชนะ หากก่อนรบไม่มั่นใจว่าจะชนะ หรือไม่รู้จะชนะด้วยวิธีใดแล้ว ก็ไม่ควรจะรบ หากดึงดันรบไปก็จะประสบแต่ความพ่ายแพ้"

สำหรับผมนั้นมันค่อนข้างสำคัญทีเดียว เพราะหากผมไม่มั่นใจว่าสิ่งใดจะทำสำเร็จ หรือจะไม่ได้ผลตามที่คาดไว้ ผมจะไม่ลงมือทำเด็ดขาด

เมื่อวานที่ผ่านมานี้ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับโจรใต้ที่ได้ฆ่าคนที่โดยสารรถตู้มา ตาย 9 เจ็บโคม่าอีก 2 คน โดย 9 คนนั้นถูกจ่อยิงที่หัวตายหมดทุกคน...หดหู่ครับ...

รัฐบาลเองก็เหมือนกับทำการรบกับโจรพวกนี้ เพียงแต่ใช้วิธีสันติเท่านั้น...แต่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ารัฐบาลเองมั่นใจว่าจะชนะสงครามนี้ได้อย่างไร หรือยังไม่ได้คิดก็ไม่รู้...ปกติแล้วหากคิดจะทำการอะไรก็ควรจะมีแผนการ รวมทั้งกำหนดการ เวลาที่จะทำสำเร็จ หรือความคืบหน้า...แต่นี่ไม่มีเลย

อีกอย่าง ผมไม่รู้ว่ารัฐบาลจะสมานฉันท์ หรือ สร้างสันติกับโจรพวกนี้ไปเพื่ออะไร เป็นระยะเวลานานกว่า 3 ปีแล้วที่ปัญหาภาคใต้ยังไม่ยุติ...หรือมันมีอะไร ที่พวกเราๆ ยังไม่รู้กันอีก

ซุนวูยังกล่าวอีกว่า "การศึกยืดเยื้อนั้นย่อมไม่เป็นผลดีกับประเทศ และประชาชน" เพราะจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการการทำสงครามมาก ไม่ว่าจะโดยสันติ หรือความรุนแรงก็ตาม... ชาวไทยพุทธตายไปแล้วกี่พันคน แล้วฝ่ายโจรตายล่ะกี่คน ต้องเสียทหารที่ต้องจ้างไป หรือค่ากันดารของข้าราชการชายแดนภาคใต้เท่าไหร่...เงินภาษีคนไทยทั้งนั้นครับ...

รัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ก็ยังดันทุรังต่อไป อยากสร้างสันติ...แต่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้มันดีขึ้นเลย

เอาล่ะครับ จริงๆ มีเรื่องอยากพูด อยากบ่นอีกเยอะ...แต่ ผมมันก็แค่คนธรรมดาไม่ได้มีอำนาจมากมาย อยากจะทำอะไรก็ทำไม่ได้ ได้แต่พูดเท่านั้น...

หวังว่าประเทศไทยจะสงบในเร็ววัน...
By.gazebosky

Monday, March 12, 2007

กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการโกง...

หลายวันก่อนผมได้ไปกินสุกี้ร้านที่อร่อยที่สุดในเมืองมา โดยไปกินกับแฟนของผมก่อนที่เธอจะขึ้นรถกลับกรุงเทพ...ร้านนี้บริการไม่ค่อยดีนัก ถ้าไม่ติดว่าร้านนี้เป็นร้านสุกี้ที่อร่อยที่สุดในเมืองล่ะก็ ผมคงไม่อยากเข้ามาเหยียบร้านนี้นักหรอก...


พออิ่มกันก็สั่งเช็คบิล เก็บเงิน ทันใดนั้นแฟนของผมที่ละเอียดรอบคอบโดยเฉพาะเรื่องเงินก็ได้ตรวจทานดูบิลว่าถูกต้องหรือไม่ แต่ด้วยความสามารถพิเศษของเธอทำให้เห็นว่า มีรายการอาหารที่ไม่ได้สั่งเกินมา คุณเธอก็เลยโวยวายนึดนึงว่าอันนี้ไม่ได้สั่งนะ...

สุดท้ายก็ตกลงกันได้ว่าจะเอารายการอาหารที่ไม่ได้สั่งลบทิ้งไป ทำให้จ่ายน้อยลงไป 20 บาท - -* แต่คุณเธอก็ยังเคืองไม่หาย และคิดว่าถูกร้านโกงไปเกือบ 40 บาทเชียว...

ส่วนผมเองก็เอาบิลมาดูและก็เห็นว่าเขียนเกินมาจริงๆ แต่แฟนผมเค้าโวยวายแทนไปก่อนแล้ว แต่อะไรๆ ก็ผ่านมาแล้ว แล้วคุณล่ะคิดว่าร้านสุกี้ร้านนี้จงใจโกงผมไหม...

บางทีคนร้านเค้าอาจจะเขียนบิลด้วยความเคยชินว่าอาหารชุดแรกที่สั่งต้องเป็น ผัก ไข่ และวุ้นเส้น จึงได้เขียนรายการอาหารที่ว่าลงในบิลไปก่อน แต่เผอิญผมไม่ได้สั่ง ผัก และวุ้นเส้นตั้งแต่แรก และหากลูกค้าไม่ได้โวยวายอะไรกับบิล ร้านสุกี้จะได้รับผลประโยชน์จากกรณีผม 20-40 บาท แต่ว่าหากถูกจับได้ว่ามั่วนิ่มล่ะก็ อย่างมากก็ขอโทษและลบรายการที่เกินออกไป...

จากกรณีนี้จะเห็นได้ว่าร้านสุกี้จะได้รับผลประโยชน์หากโกง เป็น + และเขียนรายการอาหารตามจริงเป็น 0 และหากโกงแล้วถูกจับได้ แต่ลบรายการที่สั่งเกินออกเป็น 0

ในขณะที่ลูกค้าจะได้รับผลประโยชน์เป็น - หากไม่ดูบิลให้ถี่ถ้วน และเป็น 0 หากรักษาผลประโยชน์ตัวเองและโวยวายเรื่องบิลขึ้นมา...

เอาล่ะครับผมจะนำเข้าสู่ทฤษฎีๆ หนึ่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ในชีวิตประจำวันของคนเรา หรือแม้แต่ในธุรกิจ นั่นก็คือ ทฤษฎีเกม หรือ Game Theory นั่นเอง

ทฤษฎีเกมที่ว่านี้ถูกคิดค้นขึ้นโดย จอห์น ฟอน นิวแมน (1903-1957)อัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยพริ้นซ์ตัน และถูกต่อยอดโดย จอห์น แนช (1928-)ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน และทำให้ แนช ได้รับรางวัลโนเบล สาขา เศรษฐศาสตร์ในปี 1994 จากทฤษฎีนี้

"ทฤษฎีเกม" เป็นเรื่องที่ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์ในการแย่งชิงผลประโยชน์ และวิเคราะห์หากลยุทธ์ที่ดีที่สุดในสถานการณ์นั้นๆ ไม่เพียงแต่การแย่งชิงผลประโยชน์กันเท่านั้น ยังอธิบายถึงการที่ต่างฝ่ายต่างร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์สูงสุดอีกด้วย...

ในกรณีร้านสุกี้ที่เขียนบิลเกินราคาสามารถอธิบายด้วยทฤษฎีนี้ได้ง่ายๆ ว่า การแย่งชิงผลประโยชน์ของร้านสุกี้กับลูกค้าถือเป็นเกม โดยที่ลูกค้าจะต้องรักษาผลประโยชน์ตัวเองให้จ่ายน้อยที่สุดของราคาจริงหรือไม่ก็จ่ายเท่ากับราคาจริง ในขณะที่ร้านค้าก็ต้องได้เงินมากที่สุด หรือไม่ก็ต้องเท่าทุน การแย่งชิงผลประโยชน์กันจึงเกิดขึ้น...

ในเกมที่ต่างฝ่ายต่างเจอกันครั้งเดียวนั้น กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการโกง อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะผมเองก็คงจะไม่ได้กินสุกี้ทุกวัน ในขณะที่ร้านก็จะไม่ได้เจอผมทุกวันด้วย คล้ายๆ กับคุณไปท่องเที่ยวที่แห่งหนึ่งครั้งแรกคงเคยบ้างที่ซื้อของที่ระลึกที่ราคาแสนแพง แต่คุณก็ซื้อมันมาเพราะเป็นความทรงจำที่ดี ในขณะที่คนขายเองก็ต้องพยายามขายของให้ราคาสูงที่สุดเพราะถือว่าเจอกันครั้งเดียวนี่...การโกง หรือ โก่งราคาสินค้าจึงเกิดขึ้น

สมัยผมเรียนซัมเมอร์อยู่ที่เชียงใหม่ ผมได้ไปซื้อของในไนท์บาซ่าร์ที่นั่น โดยเข้าไปดูในร้านเครื่องหนังร้านหนึ่ง ผมถามราคาเข็มขัดกับเจ้าของร้าน เขาตอบว่า เส้นละ 500 และผมพยายามจะต่อราคาเพราะรู้ว่าสามารถต่อให้ลดลงได้อีก ในขณะนั้นเองก็มีลูกค้าฝรั่งเข้ามาถามราคาเข็มขัดเส้นเดียวกัน เจ้าของร้านบอกว่า 3000 - -* และพูดถึงสรรพคุณมันใหญ่เลย...งานนี้ลูกค้าฝรั่งเป็นเหยื่อ...

เพราะฉะนั้นในกรณีร้านสุกี้ จึงไม่ต้องสงสัยว่า ร้านสุกี้จะต้อง โกง ไว้ก่อน เพราะมันได้ประโยชน์เห็นๆ อย่างมากก็ไม่ได้อะไร...

แต่ทฤษฎีเกมไม่ได้บอกเพียงแค่นี้ หากมีเกมเกิดขึ้น และมีจำนวนครั้งไม่แน่นอน เช่น ผมต้องไปกินร้านสุกี้ร้านนี้บ่อยๆ กับครอบครัว คนรู้จัก เพื่อนฝูง เงินเดือนออก ฯลฯ เดือนละ 5-6 ครั้ง โดยที่เข้ามาไม่แน่นอนว่าวันไหนบ้างล่ะก็ ร้านค้าจะไม่กล้าทำการ โกง แน่ๆ เพราะหากโกงขึ้นมาบ่อยๆ จะทำให้เสียลูกค้า ทำให้ร้านสุกี้ได้รับผลประโยชน์เป็น - เนื่องจากเสียลูกค้าประจำไป

แต่ก็อีกนั่นแหละ หากเป็นเกมที่เล่นกันเป็นจำนานครั้งที่แน่นอน เช่น 10 ครั้ง 100 ครั้ง แล้วล่ะก็การโกงมันตาแรกๆ หรือครั้งแรกๆ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ แต่...ในครั้งสุดท้าย เช่นตาที่ 10 ครั้งที่ 100 กลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือการโกงเช่นเดิม

ยกตัวอย่างการเจรจาธุรกิจร่วมกันของ 2 บริษัท ระหว่างลูกค้ากับโรงงาน เป็นเวลา 1 ปีล่ะก็ คงจะไม่ดีแน่หากโรงงานจะโกงลูกค้าตั้งแต่ตาแรก เพราะไม่อย่างนั้นโรงงานเองก็จะถูกประณาม รวมทั้งอาจถูกแบล็คลิสต์ จากลูกค้าอื่นๆ ด้วย แต่เมื่อใกล้จะสิ้นสุดสัญญาและต่างฝ่ายต่างไม่คิดจะจับมือกันต่อแล้วล่ะก็ ในรอบสุดท้ายกลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการโกงแน่นอน เพราะไม่มีประโยชน์อะไรหากจะร่วมมือร่วมใจกันต่อไป...ต้องตักตวงผลประโยชน์ก้อนสุดท้ายไว้ จริงไหม...

เมื่อเป็นเช่นนี้ในการเจรจารอบก่อนรองสุดท้าย กลยุทธ์ดีที่สุดก็คือการโกงเช่นเดิม เพราะต่างฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าการเจรจารอบสุดท้าย ต่างฝ่ายจะต้องโกงแน่นอน...และเมื่อคิดย้อนกลับไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่า กลยุทธ์ที่ดีที่สุดครั้งแรกคือการโกงเช่นเดิม การโกงจึงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด แต่หากโดนจับได้ค่อยว่ากันอีกที...

เอาล่ะครับ ที่ยกเรื่องนี้มาพูดก็เพราะว่า เรื่องนี้มันอาจเกิดขึ้นได้กับชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่มีใครเกิดมาไม่เคยโดนโกง อยู่ที่ว่าคุณจะรู้จักรับมือกับมัน และรักษาผลประโยชน์ของคุณเองไม่ให้ถูกโกงได้อย่างไร...

By.gazebosky

Saturday, March 10, 2007

กับอีกวันที่สับสนในตัวเอง...

วันนี้ท้องฟ้าที่บ้านผมเนี่ยอึมครึ้มยังไงก็ไม่รู้ เห็นว่าน่าจะเป็นผลมาจากไฟป่าที่ไหม้ลงมาจากที่เชียงใหม่ อากาศวันนี้เลยไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่...

เมื่อวานผมยังอารมณ์ดีเอามากๆ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกกับอะไรบางอย่างที่คิดไปเรื่อยเปื่อย...เหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว ยังไง ยั้งงั้น... ทุกคนเองก็คงจะเคยเป็นเหมือนผม แต่ทว่า ผมน่ะเป็นหนักกว่าคนอื่น...เหอะๆ

บางที บางครั้ง คำพูดเพียงเล็กน้อย ที่แค่ลอยออกมาไม่ได้ตั้งใจ จากที่ไหนซักแห่งหนึ่งในโลกใบนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมยิ้ม สามารถรับมือกับเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายในชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ...ผมยังเคยคิดเลยว่านี่คงเป็นสิ่งที่ผมอยากได้เพียงสิ่งเดียวในโลกใบนี้...แต่ผมก็รู้ว่าผมไม่มีทางได้มันมาหรอก...

คุณเชื่อในวาสนา หรือ พรหมลิขิตไหม... ส่วนตัวผมเชื่อมันเต็มๆ แต่...ผมก็ยังพยายามที่จะฝืนรั้นมันไม่ให้มันเป็นไปตามนั้นให้ได้...สุดท้ายก็มานั่งสับสนว่า...

คิดถูกแล้วรึยังที่ ยังฝืนดึงดัน ทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ต่อไป...แต่ก็ต้องมาเจ็บปวดกับมัน

คิดผิดใช่ไหม ที่มานั่งคิด นั่งสับสนอยู่กับที่แบบนี้ โดยไม่ได้ลองลงมือทำอะไรเลยสักอย่าง...เลิกซ่ะดีไหม ชีวิตจะได้มีแต่ความสุข...

วันนี้ตอนเช้าอากาศเย็นสบาย ผมหลับค่อนข้างสบายนะ วันนี้ก็ยังคงทำอะไรไร้สาระต่อไป อย่างไม่มีจุดหมาย หวังว่าสิ่งที่ผมวางแผนไว้จะเป็นไปตามที่ผมคิด...จริงๆ ผมรู้อยู่แล้วล่ะ ว่ามันอาจจะพลาดก็ได้ แต่ทำไงได้ล่ะ ก็ผมมันทำได้เท่านี้นี่นะ...

ไม่แน่ในอนาคตข้างหน้าอีกซัก 2-3 ปี ผมคงจบ ปริญญาโท แล้วอาจมีโอกาสที่ดีที่จะได้เรียนต่อ ปริญญาเอก อาจจะใช้เวลา ซัก 5 ปี รวมๆ แล้วก็ 8 ปี พอดี...ผมเคยพูดไว้ว่า ขอเวลา 8 ปี สำหรับการสร้างฐานของชีวิต ตอนนั้นผมก็จะ 28-29 พอดี

ผมกะว่าเวลา 8 ปีที่ผมขอนี้จะสามารถสร้างอะไรๆ ที่ผมไม่มี ได้ สร้างโอกาสในชีวิตใหม่ๆ ได้...รู้ไหมว่าผมจำเป็นต้องเลือกมัน จริงๆ ผมไม่ได้ชอบมันหรอกนะ...มันนานเกินไป...

ทุกครั้งที่ผมเห็นอะไรๆ ผมจะบอกกับตัวเองว่า "ต้น ต้องอดทน แล้วจะประสบความสำเร็จ"...แต่รู้ไหมว่ามันนานเกินไป บางวันผมมีความสุข บางวันผมช้ำใจ กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางเรื่อง จริงๆ แล้วถ้าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ผมไม่มีวันจะสนใจ แต่นี่คงเป็นจุดอ่อนอย่างเดียวของผม...

ผมรู้ ผมเห็น และคาดเดาสิ่งต่างๆ ได้...แต่ผมทำใจกับมันไม่ได้ เมื่อไหร่ผมจะสามารถปลดเปลื้องทุกข์ที่อยู่ในใจนี้ออกไปได้ซักที ซึ่งผมมีทางเลือก 2 ทาง เลิกสับสนกับตัวเอง ทำตามทางที่ตัวเองไปปูทางไว้ กับ ทำตามใจตัวเอง...แน่นอนล่ะ ผู้ชายอย่างผมยังไงก็ต้องเลือกความสำเร็จ มันถึงทำให้ผมต้องทุกข์ใจไง...

คุณต้องเคยมีบ้างล่ะที่อยากได้อะไร แต่ไม่มีวันได้สิ่งนั้นมา...ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน เพราะเรื่องโชคชะตานี่แหละ..."โชคชะตาไม่ได้อยู่ข้างคุณ" เนื่องจาก อาจเป็นเพราะในวันนี้ยังไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน ทำให้คิดเอาเองว่า เฮ้อออ...ทำไม่ได้น่า...

ผมเคยคิดว่า ทำไมผมถึงเลือกเกิดไม่ได้ ทำไมผมไม่เกิดมารวยกว่านี้นะ...ไม่อย่างนั้นสิ่งต่างๆ ที่ผมหวัง หรือ วางแผนเอาไว้คงประสบความสำเร็จได้โดยง่าย...ด้วยอำนาจของเงิน... แต่ผมไม่คิดเหมือนคนอื่นหรอกนะว่าอะไรๆ ที่ทำด้วยสองมือตัวเองล้วนๆ ทำทุกอย่างด้วยฝีมือตัวเอง นั่นถือว่าเป็นความภูมิใจ เพราะผมไม่อยากแพ้ ผมแพ้ได้ทุกเรื่อง มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมจะแพ้ไม่ได้ ผมจะผิดพลาดไม่ได้ หากเงินสามารถบันดาลความสำเร็จให้ผมได้ถึง 100% ผมยินดีจะทุ่มเทกับมัน ไม่อย่างนั้น ผมคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต

เอาล่ะ ผมยังคอยบอกกับตัวเองว่าอย่าหวั่นไหว และพยายามทำต่อไป...อย่างน้อยผมก็ได้ทำ ไม่ใช่แค่มานั่งคิด คุณว่าจริงไหม...

เป็นยังไงบ้างกับเค้าโครงนิยายที่ผมจะเขียน แต่ก่อนก็นึกถึงโครงเรื่องไม่ออก ตอนนี้พอจะได้ล่ะ จากที่เขียนไปข้างบนนั่นแหละ...เด๊วจะลองทำเลียนแบบพ็อคเก็ตบุ้คที่ผมเคยลงไว้ "เธอร้องไห้เมื่อหน้าฝน และพบใครบางคนเมื่อหน้าหนาวบ้าง" คิดออก เขียนได้เมื่อไหร่ จะเริ่มเขียนทันที แต่ไม่รู้เมื่อไหร่นะ...

...เรื่องราวมันยังอีกยาวไกล... เนอะ... 555+

By.gazebosky

Wednesday, March 7, 2007

เพลง เธอร้องไห้เมื่อหน้าฝน และพบใครบางคนเมื่อหน้าหนาว

เนื้อเพลง : เธอร้องไห้เมื่อหน้าฝน และพบใครบางคนเมื่อหน้าหนาว ,โตน Sofa
----------
เสียงสายฝนปนกันเสียงของน้ำตา เพราะว่าคนที่เธอรักมาร่ำลา
น้ำใสๆไม่เคยแห้งจากสองตาของเธอตั้งแต่วันนั้น
เธอคิดถึงเขาทุกวันและทุกคืน เธอร้องไห้ไม่ว่าจะนอนหรือตอนตื่น
เมื่อไหร่วันคืนที่ร้ายๆ จะพ้นไป

แต่วันนึงที่เขาเดินเข้ามา เธอนั้นแทบไม่เชื่อในสายตา
เธอนั้นถามว่าเขาไปไหนมา เขาไม่ตอบได้แต่ยิ้ม
หรือว่าภาพที่เธอเห็นมันไม่จริง หรือว่าภาพที่เธอเห็นเป็นแค่ฝัน
ถ้าเป็นอย่างนั้นช่วยปล่อยให้เธอฝันตลอดไป

* เธอร้องไห้ไปกับสายฝนก่อนจะพบใครบางคน
เมื่อลมหนาวพัดมาความหนาวสั่น พลันจางหายในอ้อมกอดนั้น
** ในอ้อมกอดอบอุ่นที่คุ้นเคย เ
พียงเท่านี้ก็เพียงพอ
จะทำให้คืนและวันที่เหลืออยู่ มีความหมายไปตลอดกาล

สายลมหนาวกำลังโอบล้อมเธอ และความรักของเขาก็เช่นกัน
นับจากนี้เธอจะไม่ไหวหวั่น ไม่ว่ามันจะอย่างไร
เพราะว่าเขาจะยืนเคียงข้างเธอ ไม่ว่ามันจะนานสักแค่ไหน
ต่อจากวันนี้เธอและเขาจะไม่จากกัน
(ซ้ำ *, **)

สายลมหนาวกำลังจะพัดผ่าน นำเอาความรักของเธอคืนมา
อีกไม่นาน อีกไม่ช้า
(ซ้ำ *)

*** เธอไม่กลัวอีกแล้วกับสายฝนและจะรักกันไปจนตราบชั่วนิจนิรันดร์
ไม่มีวัน ที่ตัวเขาและเธอจะเปลี่ยนใจ
(ซ้ำ *)

By.gazebosky

เธอร้องไห้เมื่อหน้าฝน และพบใครบางคนเมื่อหน้าหนาว...

คุณเคยมีความรักมั้ย เราเชื่อว่าทุกคนต้องเคย และก็คงจะไม่มีใครปฏิเสธ ถ้าจะบอกว่าความรัก เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตของคนเรา เราถูกดูดให้วิ่งเข้าหาความรักด้วย เสน่ห์ ความลึกลับ ความสงสัย ความอยากรู้ อยากลอง ความสุข ความเศร้า ความเหงา และด้วยอีกหลายๆ เหตุผล และถึงแม้ว่า ใครต่อใครจะบอกว่า เขาได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับมันเป็นอย่างดี แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่าความรักนั้น ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว จนบางครั้งถึงกับซวนเซ นั่นแสดงให้เห็นถึงพลังอันมหาศาลของความรัก และนั่นก็ก่อให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับความรัก หลายต่อหลายคน พยายามที่จะหาคำตอบและทำความเข้าใจกับมัน ...

หนังสือเธอร้องไห้เมื่อหน้าฝนและพบใครบางคนเมื่อหน้าหนาวนี้ เปรียบเสมือนปรัญชาความรักอีกแขนงหนึ่ง ที่ถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เรื่องราวชีวิตประจำวันที่ใกล้ตัว บางเรื่องอาจจะใกล้ตัว จนคุณอาจจะแปลกใจ ...





อีกหนึ่งในพอกเก็ตบุ๊คของ "โตน" นักร้องนำวงโซฟาที่รวบรวมเรื่องสั้นเกี่ยวกับความรัก 9 เรื่อง...

เสียดายที่หาซื้อในร้านหนังสือแถวบ้านไม่ได้ และสงสัยว่าผมคงต้องขึ้นไปหาซื้อที่เชียงใหม่ซ่ะแล้ว...ทำไมถึงพูดถึงพอคเก็ตบุ๊คเล่มนี้น่ะหรือ...เนื่องจากว่าได้ฟังเพลงที่ชื่อเดียวกับหนังสือนี่นะสิ ก็เลยเห็นว่ามันเพราะดีนะ...ก็เลยอยากหาอ่านหนังสือดูสิว่า จะให้ความหมายดีเท่าฟังเพลงไหม จริงๆ แล้วหนังสือแนวนี้มันไม่ใช่แนวของผมเลยล่ะ...

หนังสือ "เธอร้องไห้เมื่อหน้าฝน และพบใครบางคนเมื่อหน้าหนาว" ซึ่งเป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่สูญเสียคนรักก่อนเข้าพิธีวิวาห์ เธอจมอยู่กับความทุกข์โดยไม่คิดจะรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น จนวันหนึ่งเธอได้พบกับชายคนรักอีกครั้ง

ยังมีเรื่องสั้นอื่น ๆ ที่เล่าถึงความรักหลากอารมณ์... นัยน์ตาแขก เรื่องของสาวน้อยที่เชื่อโชคชะตาซึ่งแม่หมอได้ทำนายไว้,

ทาร์ซาน(กับเจน) เรื่องราวความรักของชายหนุ่มที่เชื่อว่าเถาวัลย์แต่ละเส้นจะมีจุดหมายปลายทางเป็นของตัวเอง,

ลิ้นชัก วันคืนเก่า ๆ ที่มักหลงเหลืออยู่ในลิ้นชัก,

สำหรับเขา... ความรักของหนุ่มออฟฟิศกับสาวน้อยที่บังเอิญเจอในลิฟต์,

รางรถไฟ เรื่องของชายหนุ่มที่ไม่มีงานเป็นหลักแหล่ง ตกเย็นนั่งกินเหล้ากับเพื่อน จนถึงวันที่เขาได้พบคนถูกใจ,

รูปถ่ายสีซีด ความรักแม้จะจับต้องไม่ได้ แต่เราก็รู้ว่ามันมีอยู่,

เลขาส่วนตัว เรื่องของชายหนุ่มเจ้าของกิจการที่เฟ้นหาผู้ช่วยให้ถูกใจแฟนสาว

และปลายทางแห่งรัก บทสุดท้ายจากผู้เขียน





ไว้จะไปหาซื้อมาอ่านแล้วจะมาเล่าให้ฟังกันนะครับ...
By.gazebosky

Tuesday, March 6, 2007

คุณธรรมกับสติปัญญา...

หมู่นี่ผมเองก็แปลกใจตัวเองเช่นเดียวกันว่าทำไมวันๆ ถึงเอาแต่คิด และอยากเขียนเรื่องอะไรที่มันเป็นนามธรรมจัง...ทำไมไม่หาเรื่องอะไรที่มันเบา และผ่อนคลายจิตใจ เช่น นิยาย หรือหนังสือดีๆ ซักเล่มมาพูดมากกว่า...

ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะทุกวันนี้ชีวิตผมมันน่าเบื่อสิ้นดี...จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ชอบอะไรที่มันตื่นเต้นนะ แต่ว่าการที่ไม่ได้หยิบจับทำอะไรเลย นอกจากเข้ามาเขียน Blog เนี่ย...มันน่าเบื่อ และรู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์...

อีกส่วนหนึ่งคืออยากจะเขียนความรู้ ความรู้สึกนึกคิดในใจผมเองมาเก็บไว้ เผื่อวันหน้าได้เข้ามาอ่าน จะได้เตือนสติในวันนั้นให้คิดได้...ให้ผมทำตัวทำใจเหมือนกับช่วงที่ยังเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์และปณิธานที่ว่าจะทำแต่สิ่งที่ดีๆ...จะได้ไม่หลงมัวเมาไปกับกิเลสภายนอก...

ผมเคยได้อ่าน "บทวิจารณ์สามก๊ก" ของผู้วิจารณ์ที่มีชื่อเสียงของไทยท่านหนึ่ง...ท่านได้ถือคติที่สำคัญของคนที่ได้อ่านสามก๊ก หรือ บุคคลทั่วๆ ไปไว้ว่า...

"คนเราต้องมีคุณธรรมเป็นรากฐานของสติปัญญา สติปัญญาต้องเกื้อกูลคุณธรรม"

หมายความว่าอย่างไร...

คนที่มีสติปัญญามาก หรือเรียกง่ายๆ ว่าฉลาดนั้น จะต้องมีคุณธรรมประจำใจตน เช่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น หรือตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี ง่ายๆ ก็คือ ศีล 5 ในศาสนาพุทธนั่นเอง... เช่นเดียวกัน มีคุณธรรมอันดีในตนอยู่มากนั้น แต่ไม่ใฝ่หาความรู้ พัฒนาตนเอง ให้รอบรู้โลกภายนอกอยู่เสมอนั้นก็มิได้ จำเป็นต้องมี 2 สิ่งนี้ควบคู่กันและเกื้อกูลกัน...

เป็นคนดีอยู่แล้ว ต้องตั้งใจหมั่นใฝ่หาความรู้ใส่ตัวให้มากๆ ...เพื่อยกระดับสติปัญญาตนเอง

เป็นคนเก่ง และฉลาดอยู่แล้ว ต้องมีคุณธรรมประจำใจตน... รู้จักผิดชอบชั่วดี

เมื่อมีทั้ง 2 สิ่งนี้อยู่แล้ว ก็ต้องพัฒนาตนเองทั้ง 2 ด้านให้ควบคู่กัน และเกื้อกูลกันให้เหมาะสม มิฉะนั้นแล้ว เมื่อมีสติปัญญามากกว่าคุณธรรม ก็จะใช้สติปัญญาไปในทางที่ผิด หาทางเอาเปรียบผู้ที่อ่อนแอกว่า หากมีคุณธรรมมาก แต่มีสติปัญญาน้อย ก็จะไม่รู้เท่าทัน คิดทำสิ่งใดก็จะไม่ประสบความสำเร็จ...

หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมผมถึงยกเอาสามก๊กเข้ามาอ้างทุกที ทั้งๆ ที่ไม่ได้อ่านจบครบ 3 รอบเลย แม้แต่รอบเดียวก็อ่านไม่จบ ทำไม...เพราะผมอ่านเอาเกร็ดความรู้ อ่านเอาปัญญา อ่านคนในสามก๊ก ทำอย่างไรจึงจะเป็นวีรชน และทำอย่างไรจึงทรชน...อย่างเช่น

เล่าปี่...เป็นคนที่ได้ชื่อว่ามีคุณธรรม แต่ไร้สติปัญญา แม้ว่ามีคนเก่งมาเคารพนับถือ มาเป็นพวกอยู่มาก แต่ก็มิอาจทำการใหญ่ พาตนเองและพรรคพวกไปสู่เป้าหมายได้...

โจโฉ...เป็นคนที่ได้ชื่อว่าไร้คุณธรรม แต่มีสติปัญญามาก แต่แม้ว่าไร้คุณธรรม ก็สามารถใช้สติปัญญาเอาตัวรอดได้ นำพาแคว้นไปสู่ความเจริญได้ แต่ไม่ยั่งยืน ผู้คนพากันสาปแช่งโจโฉว่า ทรราชย์...

ในขณะที่บุคคลที่ชื่นชมที่สุดใน สามก๊ก คือ จูกัดเหลียง ขงเบ้ง นั้นเป็นผู้มีทั้งคุณธรรมและปัญญาอย่างแท้จริง แม้ตายไปแล้วก็ได้ชื่อว่า เป็นเทพแห่งปัญญา ที่ใช้หลักคุณธรรมในการปกครองบ้านเมือง ไว้คราวหลังจะเอาตำราการปกครองบ้านเมืองที่ขงเบ้งเคยเขียนไว้มาเล่าให้ฟังกันบ้าง...

วันนี้ผมก็คงจะรู้สึกสบายใจแล้วที่ได้เขียนอะไรๆ ที่ระบาย ความรู้ ความรู้สึกในใจออกมาบ้าง...ในอนาคตอาจมีโอกาสได้นำสิ่งนี้ไปใช้ก็ได้...สักวันนึงล่ะ
By.gazebosky

Monday, March 5, 2007

ปณิธานในวันนี้ของผม...

ตอนเด็กๆ คุณเคยมีความฝันว่าโตขึ้นจะทำอะไร รึ จะเป็นอะไรบ้างไหม...

สำหรับผมแล้ว เริ่มตั้งแต่เด็กๆ เลย...อยากเป็นผู้พิพากษาเหมือนคุณปู่ของผม...ตอนเด็กๆ ท่านจะให้ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเมืองทุกวัน อ่านหนังสือพิมพ์ รวมทั้งจะวิเคราะห์ข่าวคราวให้ผมฟัง...โดยเฉพาะหนังสือของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช คือหนังสือที่ผมจะต้องอ่านทุกวันอย่างน้อย 10 หน้าเลยล่ะ...

หลังจากท่านเสีย ผมก็เริ่มสูญเสียตัวเองไป...เหมือนกับได้เสียอะไรที่สำคัญไปสักอย่างแต่ตอนั้นผมยังไม่เข้าใจ...

แต่ชีวิตผมก็ยังดำเนินต่อไป...

ต่อมาเริ่มอยากเป็นหมอ เพราะอยากช่วยเหลือคน อยากให้เขาหายเจ็บปวด อยากให้รอยยิ้มของเขากลับมาอีกครั้ง...แต่ผมทำไม่ได้ เพราะไม่เก่งพอ...

เอาล่ะ...ช่วยคนไม่ได้ ก็ช่วยสัตว์ก็ได้...สัตว์แพทย์ผมยังพอทำได้น่า...แต่ก็สอบไม่ติด 2 ปีซ้อน...เลยล้มเลิกความหวัง...

ตอนนั้นผมไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิต นอกจากจะแสดงความสามารถให้คนอื่นยอมรับ แค่นั้นเอง...นั่นคือสิ่งที่ผมภูมิใจ กับคำชมเชย ของคนอื่น...

เมื่อได้ลองเข้ามาทำงานก็พบอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกไป...คำว่า ผลประโยชน์เปลี่ยนใจคนได้...นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้

ทำให้ผมนึกถึงตอนเด็กๆ...มีครูคนนึงเคยบอกให้กับเพื่อนๆ ในชั้นให้ท่องและจำให้ขึ้นใจว่า "คนเก่งที่เห็นแก่ตน คือคนชั่วที่คดโกงผู้อื่น"...นี่คือคำพูดที่ผมจำเสมอมา

เพราะฉะนั้นผมจึงลาออก และบอกกับตัวเองว่า ถ้าเลือกได้ ผมจะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม จะไม่ทำประโยชน์ให้ใครคนหนึ่ง...เพราะมันอาจจะเป็นการทำร้ายคนอีกหลายคน

ผมจึงเลือกที่จะเรียนต่อ...เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ถ้ามีโอกาสนะ...อยากจะให้ความรู้กับเด็กๆ จบออกไปเป็นคนดี ช่วยกันพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่าให้ล้าหลังกว่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา...

มีคนขายประกันระดับหัวหน้าคนนึงเคยชวนผมไปขายประกันด้วย...เค้าดูดวงให้ผมบอกว่าผมลักษณะดี โดยเฉพาะปาก คำพูดให้ชักจูง โน้มน้าวใจคนได้เป็นอย่างดี...เค้าบอกผมว่า หากผมเป็นอาจารย์แล้วก็ได้แค่สั่งสอนให้ลูกศิษย์ได้เท่านั้น พอจบไป เค้าก็ต้องไปหางานของเค้าเอง แต่หากมาทำงานกับเค้านอกจากจะได้สอน อบรมลูกน้องเสมือนเป็นอาจารย์แล้ว ยังสามารถหางาน สร้างเงินให้ลูกน้องไปในตัวด้วย...

อาจารย์-สอน ให้ความรู้ ลูกศิษย์จบไปต้องหางานอีก...
หัวหน้าคนขายประกัน-สอน อบรมความรู้ กับลูกน้อง + หาเงินให้เค้าได้อีก...

ผมก็หัวเราะ แหะๆ...ไม่ได้ตอบอะไร

เพราะผมคิดว่า คนเราควรจะมีสิทธิ์เลือกอนาคตตัวเอง ผมมีหน้าที่ให้ความรู้ สั่งสอนให้เค้าเป็นคนของสังคม เอาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์...เงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ เสมอไป...

นี่แหละคือ ปณิธาน ในตอนนี้ของผม...

By.gazebosky

Sunday, March 4, 2007

ชีวิตวันนี้ที่ไร้แก่นสาร...

วันนี้เป็นอีกวันที่ผมพยายามจะคิด...อะไรซักอย่างนึง...แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดเรื่องอะไรอยู้รู้สึกว่า มีเรื่องราวมากมายเข้ามาให้สมองผม แต่ผมกลับคว้ามาไม่ได้ซักเรื่องเลย...

ผมยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้ 1 ปี คือตอนที่ยังเรียน ปี 4 อยู่นั้นเป็นช่วงที่ผมมีพลังความคิดที่รุนแรงถึงจุดทีเดียว...ตอนนั้นผมคิดเสมอว่าอะไรๆ ก็ไม่สามารถจะมาขัดขวางผมได้อีกแล้ว...แต่เชื่อไหมว่า ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว ที่ผมเองไม่สามารถเลือกได้ ทำให้ชีวิตผมเคว้งคว้าง และเสียเวลามา 1 ปีเต็มๆ...

ตอนนี้นึกย้อนตัวเองเมื่อสมัยก่อน...ว่าตอนนั้นผมมีอะไร และตอนนี้ผมขาดอะไรไป...

ตอนเรียน ม.ต้น ม.ปลาย เรียนเก่ง 3 กว่ามาตลอด แต่ก็ไม่เคย 3.7 รึ 3.8 เพราะอะไร?...ไม่ใช่ว่าผมทำไม่ได้ แต่ผมไม่ทำ...ขอแค่ 3 กว่าก็พอ
ตอนเอ็นทรานซ์ ก็ไม่ค่อยอ่านหนังสือ สอบไปตามบุญ ตามกรรม สุดท้ายก็เอ็นติด...แต่ไม่ได้คณะที่หวังไว้ สุดท้ายผมเอ็นเป็นครั้งที่ 2 แต่ก็พลาดคณะที่ผมหวังไว้อีกครั้ง...เพราะอะไร?
ช่วง 2 ปีแรก ผมไม่เข้าเรียนเลยซักวิชา เข้าไปสอบอย่างเดียว ผลการเรียนแค่ 2.5 เท่านั้น...ไม่ได้ตั้งใจเรียนเอาซ่ะเลย...
ผมเข้าชมรม เทควันโด ซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย 2 ปี จนเรียกว่าเก่งเกินตัว เกินสายไปแล้ว แต่ก็ต้องมาเจอกับอาการบาดเจ็บ และความเบื่อ ซึ่งทำให้ผมเลิกเอาดื้อๆ...
ช่วงปี 3 เป็นช่วงที่ผมปรับตัวเองใหม่ สนใจเรียน...แต่ก็ยังทำไม่ได้ดี ทั้งๆ ที่ผมพยายามแล้ว...
ช่วงปี 4 เป็นช่วงที่สุดยอดที่สุดในชีวิต...การเรียนได้เกิน 3.5 กิจกรรมก็เด่น มีเกียรติระดับประเทศติดตัว...
พอจบ...ผมเลือกที่จะทำงาน สร้างผลงานให้กับตัวเอง...แต่มันก็ไปไม่รอด เพราะตัวผมเอง...สุดท้ายผมเสียเวลาอีก 1 ปีเต็มๆ

ชีวิตผมทำอะไรผิดพลาด เสียหายมาตลอดชีวิต ทั้งๆ ที่ผมสามารถจะทำทุกอย่างได้...ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ผมขาดแรงบันดาลใจในชีวิต ...

ตอนนี้"เทพีแห่งชัยชนะ" ไม่ได้อยู่ข้างผมอีกแล้ว

สุดท้าย...ผมก็คงพ่ายแพ้ต่อไป...
By.gazebosky

เพลง เห็นแล้วมันเกิดอารมณ์--- Rule Dark

วันนี้ก็มีเพลงๆ นึงที่ผมชอบ หาเอามาลงไว้ฟังใน Blog เป็นเพลงแนว Indy ที่เพราะ + ความหมายดี (-..-) อีกเพลงนึงเลย...
ผมคบเธอมาเนิ่นนาน แต่มีอาการสั่นเหลือเกิน
ใกล้นิดเดียว ใจแทบวาย แม้ต้องตาย ผมก็ยอม
ตั้งแต่เจอะเธอครั้งแรกใจก็หวั่นไหว ยิ่งได้มองอีกครั้งรู้สึกทนไม่ไหว
ต้องเก็บอาการเอาไว้ข้างใน กลั้นเอาไว้ ไม่ให้รู้ อาจจะทนได้แค่ไหน...
*เห็นแล้วกันเกิดอารมณ์ ก็เธอมันช่างสวยเกินใจข่ม
รู้ไหมว่าใครชื่นชม อยู่ไม่ไกล
**เห็นแล้วมันเกิดอารมณ์ ยิ่งมองยิ่งน่ารักเกินตรอมตรม
ยิ้มเธอนั้นนวลผมจวนข่ม เกือบไม่ไหว
-----
ซ้ำ *,**
***เห็นแล้วมันเกิดอารมณ์ ทรวดทรงเธอยั่วเย้าเกินตรอมตรม
ยิ้มเธอนั้นนวลผมจวนข่ม เกือบไม่ไหว
ซ้ำ *,**,***
อิอิ...แบบว่า...เห็นแล้วมัน...เกิดอารมณ์ -..- เอิ๊กๆ


























By.gazebosky

Saturday, March 3, 2007

ความสามารถของคนกับการเลือกใช้คน...

มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่ผมและเพื่อนเห็นพ้องต้องกัน คือ "เลือกใช้คนผิด คิดจนตัวตาย" เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษที่มีอยู่ในบุคคลซึ่งมีความแตกต่างกัน
"เทพแห่งปัญญา" จูกัดเหลียง ขงเบ้ง ได้กล่าวไว้ใน บท "ความสามารถ" เกี่ยวกับการเลือกใช้ขุนพลของขงเบ้งไว้ดังนี้...

ความสามารถของขุนพลมีมากน้อยแตกต่างกัน...
-ผู้ที่สามารถมองเห็นความผิดชอบชั่วดีภายในกองทัพ และมองเห็นภยันตรายที่จะเกิดขึ้น เป็นที่เคารพเชื่อถือของคนทั้งหลาย นี่คือหัวหน้าคุมพลได้สิบคน
-ผู้ที่ตื่นเช้า นอนดึก ขยันหมั่นเพียรมิว่างเว้น พูดจาระมัดระวัง รอบคอบและแจ้งชัด นี่คือหัวหน้าคุมพลได้ร้อยคน
-ผู้ที่นิสัยซื่อตรง เปิดเผย ยามเผชิญเหตุการณ์ สามารถใช้หัวคิดอย่างรอบด้าน และเป็นผู้กล้าหาญชาญชัย นี่คือขุนพลคุมทัพได้พันคน
-ผู้ที่รูปร่างสง่าผ่าเผย จิตใจกระตือรือร้นตลอดกาล เข้าใจสารทุกข์สุกดิบของไพร่พล เห็นใจความเหนื่อยยากของเขาทั้งหลาย นี่คือขุนพลคุมทัพได้หมื่นคน
-ผู้ที่รู้จักแนะนำหรือเลือกใช้คนที่พร้อมมูลด้วยจริยธรรม และสติปัญญา สุขุมรอบคอบไม่ว่าเวลาใด ซื่อตรงและรักษาสัจจะวาจา โอบอ้อมอารีต่อคนทั้งหลาย สันทัดในการสะสางเหตุการณ์อันสับสน นี่คือขุนพลคุมทัพได้แสนคน
-ผู้ที่ใช้เมตตาธรรมต่อผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นที่เคารพนับถือของแว่นแคว้นใกล้เคียง รอบรู้ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ รู้จักเข้าสมาคม ถือทุกแห่งในพื้นพิภพนี้เป็นเสมือนบ้านของตน นี่คือจอมทัพ ขุนพลแห่งแผ่นดิน

เป็นที่ยอมรับกันว่า งานการใดๆ ก็ตาม จะสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับคน การเลือกใช้คนตามคุณวุฒิของแต่ละคนนั้นพึงถือเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญของการเลือกใช้คน

ไม่ต้องแปลกใจที่ ขงเบ้ง นั้นเน้นเมตตาธรรม คุณธรรมนำหน้า เพราะกลียุค 3 ก๊กนั้นบ้านเมืองระส่ำระสาย คนโดยมากหาประโยชน์เข้าตน ลืมความทุกข์ของประชาชน อีกทั้ง ขงเบ้งเองเป็นนักปกครองอย่างแท้จริง มิใช่นักการทหารโดยแท้ หากได้นักการทหารอย่าง "หานซิ่น" (แม่ทัพใหญ่ ผู้กำอำนาจเบ็ดเสร็จทางการทหาร ของปฐมกษัตริย์ราชวงค์ ฮั่น พระเจ้าฮั่นเกาโจว เล่าปัง ผู้ที่ออกรบรวมรวบแผ่นดินฮั่นอย่างเอาชีวิตเข้าแลกตลอดเวลา 10 ปี จนแผ่นดินเป็นปึกแผ่น แต่สุดท้ายก็ "ทำดี ได้โทษ" ถูกเล่าปัง ประหารชีวิต ในข้อหา "เจ้ารบเก่งเกินไป เอาไว้ไม่ได้)แผ่นดินจีนในยุคนั้นต้องตกเป็นของ เล่าปี่อย่างแน่นอน

แต่หลักการใช้คนนั้นมิใช้จำกัดแต่เพียงนำเมตตาธรรมมาใช้เท่านั้น ผู้ยิ่งใหญ่อีก 2 คนในยุค 3 ก๊กคือ โจโฉ และซุนกวน ก็ล้วนแต่มีหลักการใช้คนที่ไม่เหมือนกันเช่นเดียวกัน

"โจโฉ" เน้นความสามารถมาเป็นหลัก ไม่ถือบุญคุณความแค้นส่วนตัว ที่เคยมีกันมา และนี่เป็นส่วนนึงทำให้แคว้นวุยได้ชัยชนะเหนือแคว้นอื่น เนื่องจากมีผู้คนพลัดกันเข้ามาสร้างผลงานไม่ขาด
"ซุนกวน" เน้นใช้คนใกล้ชิด ความไว้ใจ ทำให้เมื่อนานเข้าแผ่นดินง่อก็ล่มสลายในยุคหลานของซุนกวนเนื่องจากขาดคนที่มีความสามารถที่แท้จริง
สุดท้าย"ขงเบ้ง"(ไม่ได้พูดถึงเล่าปี่ เพราเล่าปี่เป็นเพียง คนขายรองเท้าฟางผู้แอบอ้างว่ามีเชื่อสาย เล่า เท่านั้น)เน้นใช้คนมีคุณธรรม มีเมตตาธรรม มีสัจจะเป็นหลัก เมื่อสิ้นขงเบ้งไป จ๊กก็ล่มสลายอย่างรวดเร็วเนื่องจากขาดคนมีความสามารถเข้ามาสานต่อ ส่วนหนึ่งเนื่องจากขงเบ้งไม่ไว้ใจใคร เนื่องจากยังติดใจเรื่องม้าเจ๊ก ยังระมัดระวังเรื่องการใช้คน...

นี่ก็เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆ + กับบทวิจารณ์ความคิดเห็นส่วนตัวเล็กน้อยของผม...เวลากลับมาอ่านจะได้รู้ว่า นี่ล่ะนะมองไว้ไม่ผิดจริงๆ...สุดท้ายก็ผิดพลาดอีกแล้ว 555+

By.gazebosky

Friday, March 2, 2007

งานอดิเรกของผม...

จะว่าไปแล้วช่วงว่างๆ และเซ็งๆ ยังงี้ เพื่อนยากของผมที่ทำให้พอหายเหงา หายเซ็ง และหยุดคิดกับเรื่องความเป็นไปของคนอื่นได้บ้างก็คือหนังสือ...สักเล่มนึง...

หนังสือกับผมเริ่มรู้จักกันครั้งแรกตอนผมอยู่ ม.2 กับหนังสือที่สะสมเล่มแรกในชีวิต มันคือ "JoJo ล่าข้ามศตวรรษ เล่ม 3"...ถูกแล้วครับ มันก็คือหนังสือการ์ตูน แต่เชื่อไหมว่ามันคือแรงบันดาลใจให้ผมรักการอ่าน และนำไปสู่นิสัยรักการอ่าน และเป็นหนอนหนังสือตัวยงอย่างผม...

ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมามากล่ะ หาจะให้พูดถึงว่า ผมมีการ์ตูนเรื่องไหนบ้าง คงเขียนกันไม่หวั่นไม่ไหวแน่ๆ แต่ตอนนี้ผมก็มีคอลเลคชั่นหนังสือที่อ่านเล่น อ่านให้ความรู้อยู่เยอะเหมือนกัน วันนี้เลยยกมันออกมาแล้วค้นซิ ว่าตูซื้อหนังสืออะไรมาบ้างเนี่ย...

แนวประวัติศาสตร์-ชีวประวัติ
- ประวัติศาสตร์โลก เล่มอย่างหนา เกือบ 800 หน้า
- ย้อนรอยประวัติศาสตร์โลก
- อเล็กซานเดอร์ มหาราช
- คลีโอพัตรา นางพญาไอยคุปต์
- ศึกโรมัน
- สงครามครูเสด
- 7 ผู้พิชิต
- Knight Templar & Priory of Sion
- จักรพรรดินักรบ นโปเลียน เล่ม 1
- นโปเลียน โบนาปาร์ต บุรุษแห่งสงครามและอำนาจ
- อาดอร์ฟ ฮิตเลอร์ อวตารแห่งระบอบเผด็จการ
- ยมทูตแห่งค่ายนรก นาซี
- ลอบสังหารผู้นำ
- ต้นกำเนิดคริสต์มาส
- แผนที่แผนทาง ในประว้ติศาสตร์โลกและสยาม
แนวศิลปะ
- ศิลปะคลาสสิก
- ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก
- เครื่องหมายและสัญลักษณ์ในคริสตศิลป์
แนวกลยุทธ์
- ตำราพิชัยสงครามซุนวู
- หุบเขาปีศาจ โรงเรียนผู้นำ แห่งแรกของโลก
- 36 กลยุทธ์ ฉบับ ศิลปะและสัญชาตญาณการต่อสู้ของสัตว์
- ยอดขุนพลจากปัญญาของขงเบ้ง
- กลยุทธ์และวิธีเจรจาต่อรองทางการค้า
- กลยุทธ์สร้างอำนาจในที่ทำงาน
- คัมภีร์ 100 กลยุทธ์
- กว่าจะเป็นนายพล
นวนิยาย
- รหัสลับ ดาวินชี ของ แดน บราวน์
แนวปรัชญา
- คัมภีร์ เต๋า ของท่าน เลี่ยจื่อ
- คำคม และ วาทะสำคัญ ในประวัติศาสตร์โลก เล่ม 1
แนวปริศนาโลก-วิทยาการ
- เอกภพ สรรพสิ่ง และมนุษยชาติ
- ก้าวพ้นกรอบ ไอน์สไตน์
- นาโนเทคโนโลยี
- ถอดปริศนาดาวินชี 1 และ 2
- แกะรอยแดนบราวน์ สืบรหัสลับ ดาวินชี
- ปริศนาลับ สฟิงซ์
- กฎพิศดาร ปรากฏการณ์พิศวง
- อารยธรรมลี้ลับ
- ปริศนาของโลก
- สารานุกรม ภูต ผี วิญญาณ นางฟ้า เทวดา และสัตว์ประหลาด
- ไขปริศนา มายาเวท
แนวการพัฒนาตัวเอง
- เอาตัวรอดด้วย ทฤษฎีเกม ... ทฤษฏีรางวัลโนเบล ของ จอห์น แนช
- อยากยิ่งใหญ่ ต้องใจหิน
- ฟิตเนสสมอง
- การคิดเชิงกลยุทธ์
- การคิดเชิงวิเคราะห์
- การคิดเชิงสร้างสรรค์

มันเยอะจริงๆ นะคับเนี่ย ตอนนี้ผมก็ยังอ่านไม่จบทุกเล่มเลย โดยเฉพาะแนวปรัชญาเนี่ย ต้องคิดไปอ่านไป ทำความเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งให้ได้...มันยากตรงนี้แหละ

จริงๆ ยังมีอีกเยอะเลย แต่มันเป็นแนวจิปาถะซะมากกว่า ยังไง...หนังสือก็ยังคงเป็นเพื่อนแท้ของผมล่ะ...


By.gazebosky