Monday, April 2, 2007

ตรงไหนที่เรียกว่าความพอดี...

โดยส่วนตัวแล้วผมมักจะคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเลย เวลาที่จะคิดอะไรๆ ก็ตาม "ตรงไหนที่เรียกว่าความพอดี" ของตัวมันเอง... บางทีอาจจะงง ว่าเอ๊ะ ความพอดีนี่มันคืออะไร...

หลายๆ คนคงเคยเรียน เคมี ตอน ม.ปลาย และคงเคยเรียนเรื่องเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีมาบ้าง เอ๊ะ แล้วมันเกี่ยวกันยังไงอีก... ในปฎิกิริยาเคมีที่สามารถย้อนกลับได้ หรือ Reversible Reaction นั้นสารตั้งต้นสามารถเปลี่ยนตัวเองไปเป็นผลิตภัณฑ์ และ ผลิตภัณฑ์เองก็สามารถกลับไปเป็นสารตั้งต้นได้ หากมีสภาวะ + ตัวเร่งที่เหมาะสม...

อย่างเช่นพวกน้ำโซดาครับ...มันก็คือกรดคาร์บอนิก H2CO3 ปฎิกิริยาคร่าวๆ มีอยู่ว่า...

H2O + CO2 <-----> H2CO3

หากเรากินโซดาตอนที่มันอยู่ทั่วๆ ไปไม่แช่เย็นล่ะก็ จะรู้สึกแสบคอ เพราะมันคือกรดคาร์บอนิค แต่พอแช่เย็นแล้วกินก็จะไม่ค่อยแสบเท่าไหร่ เหมือนดื่มน้ำเปล่า แต่ออกเปรี้ยวๆ (เปรี้ยวเพราะมันเป็นกรด)... เห็นได้ว่าในกรณีนี้อุณหภูมิเป็นตัวเปลี่ยนแปลงปฎิกิริยา หากอุณหภูมิของโซดาจากเย็นเป็นร้อนจะทำให้มันเปลี่ยนจากน้ำ กลายเป็นกรด...

โซดาที่ยังไม่เปิดฝาก็จะมี จุดสมดุล ของมันอยู่ค่าหนึ่ง คือประมาณว่ามีปริมาณ CO2 อยู่เท่าไหร่ แต่หากเปิดฝาทิ้งไว้สักครู่แล้วมากิน ก็จะพบว่า โซดามันเหมือนน้ำเลย เนื่องจาก CO2 ออกไป จุดสมดุลที่ว่ามันก็เลยเปลี่ยนไป จาก โซดา --- น้ำ เมื่อเปลี่ยนสภาวะของมัน...

เอาล่ะครับ คงงงใช่ไหม ช่างมันเถอะนะ ผมแค่จะเกริ่นเฉยๆ...คิดๆ ดูแล้วพวกปฏิกิริยาเนี่ย ในสภาวะๆ หนึ่งมีจุดสมดุลที่แน่นอน แต่ในขณะที่ในชีวิตจริงๆ ไม่มีจุดที่เรียกว่าจุดสมดุลของมัน หรือ ความพอดีเลย...

อุดมการณ์ กับเงินมักไปด้วยกันไม่ได้เสมอ คงเคยได้อ่าน หรือดูข่าว ที่โรงงานผงชูรส หรือ น้ำตาลอะไรนี่แหละ ทำให้น้ำเสีย ทำให้ชาวบ้านออกมาโวยวาย... ถ้าเปรียบชาวบ้าน ฝ่ายหนึ่ง กับโรงงานอีกฝ่ายหนึ่ง...

หากหันหน้าคนละครึ่งทาง ยอมกันก็คงจะดี แต่ใครจะยอมล่ะ ในเมื่อโรงงานก็อยากจะระบายน้ำเสีย + อยากได้เงินเยอะๆ ในขณะที่ชาวบ้านก็อยากได้ค่าชดเชยเยอะ + มีแม่น้ำที่สะอาดไว้เลี้ยงปลา...ก็ต้องประท้วง เรียกร้อง ยัดเงินใต้โต๊ะ เพื่อให้จุดสมดุล มันเปลี่ยนไป...

ในชีวิตจริงแล้ว ผมเลยคิดว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะเกิดความพอดีได้เลย...

นอกเรื่องไปแล้ว จริงๆ แล้วเนี่ยผมจะพูดถึงเรื่องที่ผมคิดตะหากนะ...ว่าผมคิดอะไรๆ เนี่ยก็ดูเหมือนว่าจะหาอะไรที่ลงตัวไม่ได้ซักที บางทีก็คิดหาวิธีที่ดีที่สุดได้ แต่มันก็มีช่องโหว่ มีข้อด้อยของมัน...ทำไมถึงไม่มีอะไรที่มันเพอร์เฟค นะจะได้ไม่ต้องคิดอะไรๆ ให้ปวดหัว

เคยคิดเล่นๆ อยู่เรื่องนึงว่า ที่คิดจะเรียน ป.โท เนี่ยต้องเสียเวลา + เสียเงินไปก้อนนึง...ถ้าหากเอาเวลา + ทุนเรียนไปทำงานต่อเก็บเงินเนี่ยจะดีกว่าไหม... จริงอยู่ว่าเรียนแล้วไปทำงานจะได้เงินเยอะกว่า แต่มันต้องเสียเวลานี่ เผลอๆ ทำงานก่อนเนี่ยอาจจะก้าวหน้าเก็บเงินได้เยอะกว่า รึ อาจจะเก็บเงินไม่ได้เลย...จะมีแบบว่า ทำงานครึ่งนึง เรียนครึ่งนึง ได้ไหมนะ...เหอะๆ

ก็ไม่ไหวอีก มันเหนื่อย ...สรุปได้ว่า นี่ก็ไม่มีวิธีการไหนที่ดี และรับรองผลได้ว่า จะดีกว่าอีกวิธีเลย จริงไหมครับ...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ตัวเองก็คือ "ความพอดี" เนี่ย อยู่ที่คนเรานี่เองแหละ...

ที่บ่นๆ มาเนี่ย ก็เหมือนจะด่าตัวเองแหละว่า เขียนมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้รึไงว่า เรื่องทุกอย่างมันก็กลับมาที่ตัวเรานี่ล่ะ...ผมรู้ครับ แต่ผมหาทางออก หาความพอดีในชีวิตไม่ได้ นี่แหละ ที่มันยาก...

ผมเริ่มเกลียดตัวเองที่ชอบไปอ่านอะไรที่มันประเทืองปัญญาเกิน สู้เรียนๆ เล่นๆ จบๆ ไป ปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ ตามที่ควรจะเป็นคงดีกว่าไหม...เหมือนปฎิกิริยาเคมี ที่ผมพูดถึงไง พอเห็นอันนู้นน่าจะดีปุ๊บ ก็ไปเลยดีกว่า ไม่ต้องคิดอะไรมาก...

555+ ขำๆ นะครับ ยังไงผมก็เลือกที่จะปวดหัว แล้วมาคิดนี่...ก็เพราะชีวิตผมมีครั้งเดียว มีโอกาสเดียวนี่ เพราะฉะนั้นผมขอที่จะเลือก ที่จะคิดดีกว่าปล่อยไปตามยถากรรม...

แล้วจะเขียนทำไมเนี่ย - -*

No comments: