Friday, June 29, 2007

เพลง ไม่เคยจะห่างกัน --- เอิ้น พิยะดา





ตอนนี้ผมอยากได้กีต้าร์หลังเต่าซักตัวจัง แต่ผมก็มีกีต้าร์โปร่งอยู่ตัวนึงที่เลือกเองกะมือเลยนะ รุ่นน้องยังคิดว่ามันแพงเลย ทั้งๆ ที่ราคาถูกกว่าเป็นครึ่ง เสียงดีเกินกว่าราคาว่างั้น กีต้าร์อคูสสติกก็มีตัวนึง แต่ว่าให้เพื่อนไปแล้ว เป็นกีต้าร์ที่ผมเริ่มหัดจริงๆ จังๆ เป็นตัวแรกเลยล่ะ...เล่นง่าย สายไม่บาดนิ้วมาก

ที่อยากได้เพราะชอบรูปทรงมันครับ ส่วนเสียงเนี่ย ในความคิดของผมๆ คิดว่า เสียงมันบาดใจได้มากกว่ากีต้าร์โปร่งธรรมดาอีก สายก็แข็งกว่านะ เล่นเพลงแล้วมัน มันมากๆ เลยล่ะ ชอบๆ...

ยิ่งถ้าคิดว่าได้เล่นเพลงนี้นะ จะเพราะสุดๆ ขนาดไหน จินตนาการไม่ออกเลย (เว่อร์ไปปล่าวหว่า)...แต่ยังติดพวก effect ในการดีดครับ ซึ่งคงต้องแกะๆ ไปเรื่อย ผมคิดว่า แค่ฝีมือผมในตอนนี้ก็เล่นเพลงนี้มันแล้วล่ะ ถ้าเทพๆ จะขนาดไหน...อิอิ

Tuesday, June 26, 2007

โรคประจำตัวเกือบทำให้ผมต้องตายซ่ะแล้ว...

เมื่อวานนี้ ผมนึกว่าตัวผมจะต้องตายซ่ะแล้ว มันเหมือนๆ หลายๆ ครั้งที่เป็นมาครับ แต่คราวนี้มาแบบไม่ให้รู้เนื้อ รู้ตัว กำลังจะนอนอยู่ดีๆ อาการก็มากำเริบ จนผมนึกว่าจะต้องนอนตายคาเตียงซ่ะแล้ว...

ผมโชคร้ายที่เกิดมาเป็นโรคภูมิแพ้ ใครไม่รู้ก็คิดว่าคงเป็นโรคที่เบาๆ แต่จริงๆ แล้วโรคนี้มีความหนักเบาแตกต่างกันไปแต่ล่ะคน แพ้เกสรดอกไม้บ้าง แพ้อากาศบ้าง และผมก็ซวยเหลือเกินที่เป็นภูมิแพ้อากาศ...มันหมายความว่า เวลาอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วๆ ผมจะปรับตัวไม่ทัน หายใจไม่ทัน เริ่มหายใจไม่ค่อยออก หากอากาศร้อนๆ ก็จะคัน ขึ้นผื่นไปทั้งตัวง่ายกว่าคนอื่นๆ...แค่ง่ายกว่านะครับ คนที่เป็นภูมิแพ้น่ะ เพียงแค่คนที่ไม่เป็นอาจจะเกิดยากกว่า รึ ไม่เกิดเลย...

ขอบตาผมเลยคล้ำแบบแก้ไม่หาย เพราะผมมีโรคประจำตัวเป็นโรคภูมิแพ้นั่นเอง...

และอีกโรคนึงที่ผมเป็น คือ โรคเครียด โรคที่คนอายุน้อยๆ ไม่เป็นกัน แต่ผมรู้ว่าผมเป็นมันตอนอายุได้ 17 ปี เป็นโรคที่สุดจะทรมานในความคิดผม หากเมื่อผมเครียดมากๆ ตัวผมจะเริ่มหายใจไม่ออก หายใจเข้าได้นิดเดียว หายใจยังไงก็ไม่ทั่วท้อง ทรมานมากๆ ครับ...

ซวยเหลือเกินที่มาเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ทั้งสองโรคเลย...

เมื่อคืนพอผมลงตัวนอน ก็เริ่มมีอาการ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้เครียดนะ ภูมิแพ้ก็ไม่ได้เป็นในก่อนหน้านั้น แต่ทำไมไม่รู้ถึงเกิดอาการ...ผมปวดแน่นบริเวณหน้าออก หายใจติดขัด หายได้เข้าไปเหมือนไม่ได้หายใจอะไรลงไปเลย พอจะตั้งใจหายใจลึกๆ ก็เจ็บหน้าอก พอกลั้นใจ หายใจเข้าได้สุดๆ ก็ต้องทนกับความเจ็บเพื่อแลกกับการหายใจให้เต็มปอดได้สักครั้งหนึ่ง เวลาหายใจออกก็จะเรอออกมาเหมือนกับข้างในเรามีรอยอากาศรั่วออกมา

ใครไม่เคยเป็นคงไม่รู้หรอกครับ ว่ามันทรมานแค่ไหน...

บ้างครั้งผมท้อใจ คิดๆ ไปซ่ะเลยว่า วันนี้ต้องไม่รอดแน่ๆ ทรมานแบบนี้ขอตายไปซ่ะดีกว่า ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ผมเข้าใจได้เลยว่าคนที่เจอโรคร้ายรุมเร้า ถึงขอตายดีกว่าอยู่อย่างทรมาน แค่ผมหายใจไม่ค่อยจะออกยังทรมานขนาดนี้แล้วคนอื่นล่ะ จะขนาดไหน...

ผมคิดถึงภาพทุกๆ คนในชีวิตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เหมือนจะพยายามนึกถึงเรื่องราวคนอื่นก่อนจะตายยังไงยั้งงั้น ผมพยายามดิ้นรนสู้กับมัน พยายามหายใจให้ได้ลึกๆ แม้ว่าจะหายใจไม่เข้า หายใจเข้าลึกๆ แล้วแน่นหน้าอก...

แต่ผมคนนี้มีความฝันครับ สิ่งต่างๆ ในชีวิตที่มีอยากจะทำมีอีกเยอะแยะมากมายไปหมด ผมจะมาท้อใจ ขอตายไปตอนนี้ไม่ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมเลยสู้กับมัน นอนดิ้นไปดิ้นมาอย่างทรมาน ซัก 2 ชั่วโมง ผมก็หลับไป หายทรมานล่ะครับ การที่เรานอนหลับได้ หากเป็นโรคแบบนี้ ถือเป็นยาที่วิเศษที่สุด ที่ทำให้เราหายทรมานได้ครับ...ตอนผมเป็นโรคเครียดครั้งแรก พยาบาลฉีดยานอนหลับให้ผมไป 1 เข็ม ทำให้ผมนอนหลับไปแบบไม่รู้ตัวเลยล่ะ ยาแก้แพ้ถึงทำให้ง่วงไง

พอตื่นเช้ามา ผมรู้สึกดีขึ้นมาก แม้ว่าจะยังแน่นหน้าอก จากการพยายามหายใจทั้งๆ ที่เจ็บหน้าอกอยู่ แต่ก็หายใจได้คล่องขึ้นมากกว่าเมื่อคืนเยอะ...ไม่รู้ผมโชคดี หรือ โชคร้ายที่รอดมาได้ คราวหน้าอาจจะเจออะไรที่หนักกว่านี้ก็ได้ ใครจะรู้

ผมไม่รู้เลยว่าชีวิตของผมจะอยู่ยืนยาวได้อีกแค่ไหน แต่เดาว่าต้องอายุสั้นแน่ๆ ผมกังวลว่า สิ่งที่ผมฝันไว้ จะไม่สามารถทำให้มันเป็นจริงได้...แต่หากยังมีลมหายใจอยู่ ผมก็คงต้อง...พยายามอย่างเต็มที่ล่ะครับ

Sunday, June 24, 2007

The last of My June...


มอง...มองเธอมาแสนนาน ฉันไม่กล้า ต้องคอยหลบตาเธอเสมอ กลัวสักวันหนึ่งถ้าเธอ รู้ว่าฉัน ปิดบังความจริงอะไรเอาไว้ ความลับที่ฉันซ่อนไว้ ไม่เคยบอกใคร จะอดใจไม่ไหว...

ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ เมื่อสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว มันยากเหลือเกิน จะเก็บ ซ่อนความรักเอาไว้...แล้วความลับในใจของเธอ มีฉันอยู่บ้างไหม โปรดบอกความในใจ ให้ฉันรู้ทีนะเธอ...

เก็บเอาคำพูดของเธอ มาคิดมา แอบคิดไปเองอยู่อย่างนี้ ก็เธอ...เธอช่างดีแสนดี คำว่ารักเธอ จะต้องเก็บไว้อีกนานแค่ไหน...?

จิตใจมันสับสน แล้วเธอจะรู้ตัวบ้างไหม ว่าเธอคือเหตุผล ที่ทำให้ฉันต้องกระวนกระวาย ในคืนนี้...

อยากจะบอกเธอว่ารัก แต่มันคงจะเร็วไป เธอคงไม่เข้าใจ ในสิ่งที่ฉันมี ตอนนี้ ที่เป็นทุกข์ ก็เพราะคงเฝ้าแต่คิดถึงเธอ และวันที่ได้เจอ เธอคือเหตุผลที่ฉันต้องเป็นอย่างนี้...

แค่รอยยิ้มของเธอ ความอ่อนหวานของเธอ มันมีมากเกินทนไหว ฉันไม่อาจต้านทาน ความรู้สึกข้างใน ที่ฉันนั้นมีมากเกินจะเก็บไหว...

ยิ่งฉันใกล้เธอ...ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ อยากจะรู้ว่าเธอคิดอย่างไร กับฉันที ยิ่งสบสายตา ก็หวั่นไหว แล้วความลับในใจของเธอ มีฉันอยู่บ้างไหม โปรดบอกความในใจ ให้ฉันรู้ทีนะเธอ...

The End...

Editor Note : นี่ก็คือเนื้อเพลง ความลับ กับ เธอคือเหตุผล ที่ผมเอามาเรียบเรียง บวกกับความรู้สึกที่มีออกมา แต่งเป็นบทความบทนี้...ไว้มีอารมณ์สุนทรีย์อีกเมื่อไหร่ อาจจะเอาเพลงที่ชอบๆ มา cover ใหม่อีกคราวหน้าครับ ^^

ผมยังไม่มีอะไรเลยซักอย่าง...

ทุกๆ วันนี้ก่อนจะหลับตานอนลง ผมมีเรื่องที่ต้องคอยคิดทบทวนเข้ามาในหัวมากมาย ทั้งเรื่องว่า วันนี้ทำอะไรลงไปบ้าง พรุ่งนี้จะต้องมีคิวทำอะไรบ้าง เรื่องนู้นเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง และก็อีกหลายๆ เรื่องเลยล่ะครับ แต่เรื่องที่ผมต้องคิดๆ อยู่เสมอๆ นั่นก็คือ ตัวผมในตอนนี้มีอะไรบ้างแล้วเนี่ย?

ผมรู้ว่าผมอาจจะกังวลมากไปเอง แต่มันก็ไม่ผิดใช่ไหมที่จะคิดแบบนี้ ผมคิดไปว่าเมื่อไหร่ ผมถึงจะมีอะไรที่พร้อมซักทีล่ะ ในเมื่อวันนี้ พรุ่งนี้ ยังแบมือขอเงิน พ่อแม่ อยู่เลย เมื่อไหร่จะเรียนจบ เมื่อไหร่จะมีงานทำ เก็บเงินได้เยอะๆ ซื้อบ้านซื้อรถ มีทุกๆ อย่างพร้อมซักทีนึง...

ในใจนึงก็คิดว่า นี่ตูเรียน โทจบ แล้วไปทำงานเลยดีไหม หากไปเรียนเอก อย่างน้อยก็อีก 3 ปีกว่าจะจบเผลอๆ ก็ 5 ปีก็ได้ สู้เอาเวลาที่ว่าไปทำงาน เก็บเงินจะดีไหม...ใจนึงก็คิดว่าไม่ดีหรอก อดทนนิดนึง เรียนไปทีเดียว เอาให้มันจบๆ ไปเลย หลังจากนั้นค่อยมาทำงานเอาก็ไม่สายไป ดีกว่าถ้าอยากมาเรียน ก็ต้องเสียเวลาอีก...

แต่ผมก็ยังยึดติดในหลายๆ เรื่องที่ได้มอง ที่ได้เห็นในแต่ละวันล่ะครับ...ผมเลยเก็บของที่เขามีมาคิดๆ เปรียบเทียบกับตัวของผมเอง จริงๆ มันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลย แต่ผมก็ดั๊นเก็บมันมาคิด

สิ่งที่ผมกลัวก็คือ การที่ผมได้ลงทุน ลงแรงมาเรียนเนี่ย มันจะไร้ค่าในอนาคต มันจะสายเกินไป ช้าเกินไปที่จะทำให้หลายๆ อย่างเป็นจริงขึ้นมาได้...ผมกะๆ ดูแล้ว ชีวิตที่ผมวางไว้ มันเริ่มต้นก็ปาเข้าไปตอนอายุได้ 30 ต้นๆ แล้ว...

ผมกลัวจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น กว่าผมจะมีอะไรครบ มันจะปาเข้าไปอายุเท่าไหร่ล่ะ...คิดแล้วก็กลุ้ม

จริงอยู่ว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นไปตามยถากรรม อยากกำหนดมันด้วยตัวเอง ไม่อยากจะเห็นความล้มเหลวในชีวิตของตัวเองเลย...

ชีวิตของผมยังมีอะไรหลายๆ อย่างที่ผมอยากจะทำอีกเยอะแยะไปหมด ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาว่า สิ่งที่ผมคิด สิ่งที่ผมวางไว้ มันจะเป็นจริงได้ในอนาคตอันใกล้นี้...หวังว่านะ - -"

Wednesday, June 20, 2007

เพลง รู้สึกดี --- Krungthep Marathon

คำเตือน - นี่ไม่ใช่เพลงรักนะครับ แต่เป็นเพลงที่ค่อนข้างเหมาะกับตัวผมในตอนนี้เลย กับความรู้สึกดีๆ ที่ได้มอง ได้ชม สาวสวยๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาในแต่ละวัน อย่างว่าแหละ ยังไงผมก็ชอบผู้หญิงสวยๆ แต่ก็คือ แค่มองเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรตามมาหลังจากนั้น ผู้หญิงนั่นจะสนใจหรือจะยิ้มตอบรึเปล่าก็ไม่ได้สนใจ...

ก็แค่มองสาวๆ สวยๆ หุ่นดีๆ เดินผ่านไปผ่านมา ชีวิตผู้ชายอย่างเรามันก็กระชุ่มกระชวยล่ะครับ ^^...


























Tuesday, June 19, 2007

วัตถุนิยม...!?

หลายๆ วันมานี้ผมนั่งมองเหม่อ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยๆ หนึ่งในเรื่องที่ผมคิดก็คือเรื่อง "รถยนต์" อาจจะเป็นเพราะถึงวัยที่มันจะต้องเกิดกิเลสกับเรื่องนี้แล้วล่ะมั้ง ไม่ว่าใครๆ พออายุขนาดนี้ (- -") หรือทำงานได้ซักระยะก็เริ่มอยากจะไปสอยรถยนต์มาขับเท่ๆ ซักคัน...

แต่ระหว่างที่ผมกำลังมองรถยนต์คันนู้นคันนี้สวยๆ แล้วคิดว่า เอ๊ะ ถ้าจะซื้อซักคันเนี่ย เอาสีอะไรดี ยี่ห้อ ... อะไร อีกเยอะแยะไปหมด ผมก็มองเห็นถึงคนที่ขับรถยนต์ บางคนก็ทำงาน บางคนยังเรียนอยู่แท้ๆ หรือบางคนหน้าตาห๊วยย ห่วย แต่ก็มีรถขับ มานั่งคิดๆ ก็ดูว่ามันจำเป็น หรือ มันเท่กันนะ? แต่ช่างมันเถอะถ้ามีซักคันมันก็ดีนะ...

แต่ก่อน ก็คิดว่าอืมมม ถ้ามีรถยนต์นะ คงจีบหญิงง่ายขึ้นเป็นกอง เคยคิดกับเพื่อนเล่นๆ ว่านี่ถ้ามี Honda Civic คงจะจีบง่ายขึ้น 30% แต่ถ้ามี Benz BMW สวยๆ เนี่ย คงเป็น 50% เลยล่ะมั้ง คิดไปถึงขนาดนั้น...เพราะตอนนั้นก็คิดแบบผู้ชายทั่วๆไป มีก็เท่ๆ ก็หรู สาวติดตรึม อยากจะทำอะไรต่อไป...มันก็ง่ายขึ้นแยะ

แล้วก็มาย้อนมองตัวเองตอนนี้ วันนี้ ยิ่งเห็นสาวๆ สวยๆ บางทีก็เกิดกิเลสเหมือนกันว่า นี่ถ้าอยากได้มาเป็นแฟนเนี่ย เค้าจะสนตูไหมหว่า หน้าตาเราก็พอไปวัดไปวาได้ แต่ไอ่ไม่มีรถขับนี่ดิ ยิ่ง ญ บางคนมีรถเก๋งด้วย ยิ่งไปกันใหญ่ หากเข้าไปทัก เค้าจะมาสนใจตูป่าววะ เฮ้อออ หลงคิดไปบางทีก็กลุ้มใจแท้...

แต่ดูเพื่อนๆ บางคน รถก็มีแค่ มอไซค์ หน้าตาก็งั้นๆ แต่ก็ยังเปลี่ยน ญ ควงไม่ซ้ำหน้า ไอ้เราก็งงว่า ตกลงเนี่ย มันเพราะว่าคารมป่าววะ รึว่าทั้งสองอย่าง แต่ถึงจะมีรถขับ จะให้มาจีบ ญ ไปเรื่อยก็คงไม่เอาล่ะครับ ขี้เกียจเหมือนกัน เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ จีบไปก็หวัง... กันเกือบทั้งนั้น มาคิดๆ ดูแล้ว เฮ้อออ มันก็แค่นี้ล่ะนะ...

แต่ถ้าเกิดไปชอบผู้หญิงสักคนจริงๆ จังล่ะ เกิดผู้หญิงคนนั้นเพียบพร้อมทุกอย่าง รถก็มีขับ แล้วจะมีปัญญาไปจีบเค้าไหมน่ะ อันนี้ก็น่าคิด บางคนอาจจะบอกว่า เฮ้ยยย รักแท้ ขอแค่ใจว่ะ -"- พูดง่ายจัง จริงอยู่ว่าอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ถึงแม้ว่าจะรักกัน แต่หากมีความรักของเรามีแต่ความทุกข์ ความลำบาก มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ ถ้ามีความสบายและความสุขด้วยมันจะดีกว่าไหม?

ผมก็เลยมาพูดถึงวัตถุนิยม ที่เป็นรถยนต์กันว่ามันเหมือนกับการแบ่งชนชั้นคนเราเลยนะ ถ้ามี อะไรๆ ก็สะดวกสบาย ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร แค่อาจจะลำบากกว่ามีแค่นั้นแหละ...นี่กำลังเขียนๆ ไปสาวๆ น่ารักๆ ก็มาผ่านหน้าผ่านตาไปตั้งเยอะ ทำให้คิดถึงสัจธรรมข้อนึงว่า "เฮ้อออ ทำไมแฟนคนอื่นมันต้องน่ารักกว่าแฟนเราด้วยวะ"...

เอาล่ะ ผมเองก็หวังว่าจะเก็บเงินซื้อรถยนต์ได้ไวๆ เหมือนกัน...หวังว่าคงจะไม่สายเกินไปก่อนนะ ไม่แน่วันนึงมีขับ ก็อาจจะคิดได้ว่า "มีขับแล้ว มันก็แค่นี้ล่ะนะ" ^^

Sunday, June 17, 2007

ศึกแย่งชิงมวลชน...

หัวข้อที่ผมเขียนในวันนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันอย่างยิ่ง จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กับการเมือง ไม่สิ สังคมมนุษย์มาตั้งแต่มีมนุษย์ขึ้นมาแล้วล่ะ...

การแย่งชิงมวลชน ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการแก่งแย่งชิงดีกันของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้มันหมายถึง การได้มาซึ่งกำลังที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม การได้มาซึ่งอำนาจ หรือการได้มาซึ่งคลังมันสมอง ผู้สนับสนุน ที่จะช่วยให้เป็นใหญ่ได้...

ในตอนก่อนๆ ผมเคยเขียนถึง "ซุนวู" ไว้ว่า "รู้ฟ้า รู้ดิน รบจักไร้พ่าย" คำว่า "รู้ฟ้า" นี่ล่ะครับ คือ การรู้ถึงจิตใจประชาชน และการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อช่วงชิงอำนาจ คนที่รู้ถึง เข้าใจ และสามารถนำสิ่งนี้มาใช้ได้นั่นล่ะ คือผู้กำชัยชนะอย่างแท้จริง...

เคยเล่น หรือ เคยรู้มาบ้างใช่ไหมครับว่า ในเกมหมากรุกนั้น "ขุน" ห้ามตาย หากตาย ไม่ว่าจะมีกำลังเหลือมากแค่ไหน ถ้าขุนตาย ก็จบเกม ก็แพ้... เพราะขุนนั้น แฝงความนัยถึง ความสามารถในการแก่งแย่งชิงมวลชนได้อย่างง่าย แม้จะอ่อนแอกว่าตัวอื่น แต่หมากทุกตัวในกระดานล้วนจะต้องปกป้อง ขุน ที่ว่าอย่างไร้เงื่อนไข แม้ว่าตัวเองต้องตายก็ตาม...

ผมจะพูดถึง 2 แนวคิดหลักนะครับ ก็คือ มนุษย์เท่าเทียมกัน และมีเสรีภาพ กับ มนุษย์อยู่ภายใต้อำนาจของผู้นำ ที่มีคุณธรรมแห่งฟ้าอยู่ในจิตใจ... อันแรกก็คือประชาธิปไตยไงครับ ส่วนอันที่สองก็คือ ระบอบกษัตริย์นั่นเอง...แต่ไม่ว่าแนวไหน ก็ต้องอาศัย "ฟ้า" หรือ มวลชนเช่นเดียวกัน เพียงแต่แนวคิดที่สอง มีความชอบธรรมที่จะใช้มวลชนได้ อย่างไม่มีเหตุผล...

ให้คนปกป้อง ให้คนอื่นสละชีพให้ หรือทำงานให้ด้วยความเต็มใจ เพราะเขาเหล่านั้นมีคุณลักษณะแห่ง "ฟ้า" อยู่ภายใน ไม่งั้นคงไม่มีใครยอมทำเช่นนี้...แต่เคยคิดไหมครับ ว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ หรือต้องยอมสละชีวิตของตนด้วย? ทั้งๆ ที่ทุกคนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของชีวิตของตนเองทั้งนั้น ซึ่งตรงกับแนวทางที่หนึ่ง

แต่มนุษย์เองก็ปฏิเสธไม่ได้ ถึงความจำเป็นของผู้นำ ต่อระบบสังคมของมนุษย์ได้ ดังนั้น "ผู้นำ" จึงอาศัยเหตุผลเหล่านี้ใช้มวลชนเพื่อประโยชน์ของตน เอาเป็นว่าผมเรียกว่า "กิเลส" จะดีกว่านะครับ...

บ้านเมืองเราในเวลานี้ก็เป็นการต่อสู้กันของคน 2 กลุ่มคือ กลุ่ม คมช. และกลุ่มของทักษิณ โดยมีมวลชนของแต่ล่ะฝ่าย หรือ อำนาจของแต่ล่ะฝ่าย คอยสู้กัน และชิงมวลชนกันด้วย...

ฝ่ายกลุ่มทักษิณอ้างความชอบธรรมในฐานะอดีต นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 19 ล้านเสียงที่เขาภาคภูมิใจ และข้ออ้างที่ครอบครัวถูกรังแก เพื่อปลุกระดมมวลชน "รากหญ้า" ของตนเอง ดึงให้ผู้ที่เห็นดีด้วยกับ คมช. มาสนับสนุนตน และดึงฝ่ายที่ไม่ฝักไฝ่ผู้ใดมาเป็นพวก...

ฝ่าย คมช. ก็อ้างการทุจริต คอปรัปชั่น ปฎิวัติการปกครอง แล้วจะคืนอำนาจการปกครองให้ประชาชนทีหลัง เมื่อบ้านเมืองเรียบร้อย และจะจัดการปัญหาทุจริตในรัฐบาลที่ผ่านมาให้ประชาชนเห็น...โดยฝ่ายนี้จะมีกำลังทหารเป็นหลัก เพียงแต่ด้านมวลชนถ้าสนับสนุนจะอยู่เฉย เห็นด้วยกับการกระทำของ คมช. แต่ถ้าเมื่อไหร่แปรพักตร์ก็จะไปชุมนุม ขับไล่ คมช. นั่นแหละ

ตอนปฏิวัติ 19 กันยา ที่ผ่านมาผ่านไปด้วยความสงบ ไม่มีความรุนแรง ประชาชนในกรุงเทพต่างเห็นด้วยกับการปฏิวัติครั้งนี้? เพราะความชอบธรรมในตัวท่านผู้นำทักษิณเปลี่ยนไป มวลชนเลยเข้าข้างทหาร...

แต่สถานการณ์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ทหารไม่ได้ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น ไม่ได้แสดงถึงการตรวจสอบ นำผู้ทุจริตมาลงโทษอย่างแจ่มแจ้ง...ทำให้มวลชน หันไปหาฝ่ายทักษิณ...

ฝ่ายทักษิณเองก็ไม่รอช้า รีบปลุกระดมมวลชนกลับมาฝ่ายตนเองให้มากที่สุด...จากการต่อสู้กันของสองฝ่าย มวลชน ล้วนเป็นตัวตัดสินชัยชนะ และความชอบธรรมที่มาจากชัยชนะนั้น... และหากมีการสูญเสีย ความรุนแรง คงหนีไม่พ้นเหล่ามวลชนที่จะบาดเจ็บ...

เพราะฝ่ายทักษิณกำลัง "เชิด" มวลชนที่ตัวเองมีไปต่อสู้ ปกป้องตนเอง จากกำลัง อาวุธของ คมช. หากมวลชนบาดเจ็บ ก็เข้าทางตนเอง และเพียงพูดปลอบใจ ก็มีคนพร้อมที่จะไปตายแทนได้...

ที่ผมจะพูดก็คือ "อย่าได้หลงมัวเมาไปกับกระแสความอยาก หรือ กิเลสของคนชั่ว พาตัวเองไปสู่จุดจบ" ด้วยข้ออ้างต่างๆ นาๆ โดยเฉพาะคำว่า "เพื่อประชาชน" เป็นคำพูดที่ใช้มากและช่างมีพลังเหลือเกิน...

สุดท้ายฝ่ายที่จะชนะก็จะอาศัยฐาน "มวลชน" ที่มี หรือเปรียบได้กับ หมากในกระดานหมากรุก คอยปกป้องตนเองจากศัตรู พอได้รับชัยชนะก็จะเหยียบมวลชนเหล่านั้นขึ้นไปสู่อำนาจ...หรือ "กิเลส" ของตนเองนั่นเอง

Saturday, June 16, 2007

เป็นมิตรยามทุกข์ เป็นศัตรูยามสุข...

ไม่มีใคร ไม่หลงมัวเมาอยู่ในอำนาจ และก็ไม่มีใครที่สามารถยิ่งใหญ่เทียมฟ้าได้ตลอดกาล นั่นคือ ส่วนนึงในความเป็นจริงของโลกใบนี้ ใครบ้างล่ะที่จะไม่ชอบการมีอำนาจล้นฟ้าอยู่ในมือ เพราะอำนาจเหล่านั้น สามารถนำพาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเหล่านั้นต้องการมาอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ เงินทอง ผู้หญิง หรือแม้แต่ การกำหนดชะตาชีวิตของผู้อื่น...

ส่วนคนอื่นที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของคนอื่น ก็ย่อมที่จะแสวงหาทางหลุดพ้น เป็นไทแก่ตัว รึไม่ก็สร้างอำนาจ เพื่อรอว่าสักวันนึงจะสามารถช่วงชิงอำนาจ จากคนที่อยู่สูงกว่าได้ และได้สิ่งที่ผู้มีอำนาจคนนั้นเคยมีมาไว้เป็นของตัว...

หนทางสร้างอำนาจมีมากมายครับ แต่สิ่งที่ผมจะเขียนวันนี้ก็คือ "การผูกมิตร" การสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีระหว่างกันเพื่อช่วงชิงอำนาจที่ว่านี่มา หรือแม้แต่การที่จะ "ช่วยเหลือกัน" จากการถูกกดขี่จากผู้มีอำนาจ...

ในสมัยก่อน หรือแม้แต่สมัยนี้ก็ตาม ผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ล้วนแต่เก่งในการผูกมิตร มีพันธมิตรที่เข้มแข็งคอยช่วยเหลือกันทั้งสิ้น นับว่า "ความสามารถในการผูกมิตร" เป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของผู้มีอำนาจทุกคนทีเดียว...

แม้ว่าการผูกมิตรจะมีคุณประโยชน์มหาศาล แต่มันก็ล้วนมีโทษที่หลายๆ คนคาดไม่ถึงเหมือนกัน นั่นคือ "เป็นมิตรยามทุกข์ได้ แต่ไม่อาจเป็นมิตรยามสุข" เมื่อพันธมิตรสามารถครอบครองอำนาจไว้ได้ ใครล่ะที่ไม่อยากจะได้อำนาจทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว? ใครล่ะที่ไม่อยากจะมีอำนาจเหนือผู้อื่น?...

สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการระแวงกันเกิดขึ้น เนื่องจากผลประโยชน์จากอำนาจมันมากมายเหลือเกิน แต่ที่สำคัญคือ คำว่า "ผลประโยชน์" มันเปลี่ยนแปลงคนเราได้... เหตุการณ์หลังจากนั้นก็คือ การหักหลัง หรือ แทงข้างหลัง คนที่เคยเป็น "เพื่อน" กันนั่นเอง

มาถึงการคบเพื่อนก็เช่นเดียวกันครับ หากต้องการร่วมหัวจมท้ายกันตลอดไป จำเป็นต้อง "มอง" เพื่อนคุณเหล่านั้นให้ออกว่าเขามีลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร มีความสามารถ พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่?...

ที่สำคัญคือ จะสามารถร่วมสุขในอนาคตด้วยได้หรือไม่?

การมีเพื่อน มีมิตรมาก คอยช่วยเหลือ ล้วนเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือเรื่องนี้...ขอฝากเอาไว้แค่นี้แล้วกันครับ คนเรามองกันยาก หากพลาดพลั้งไปอาจจะทำให้ต้องสูญเสียมหาศาล โดยเฉพาะชีวิตของเราก็อาจรักษาไม่ได้เหมือนกัน...

Friday, June 15, 2007

เพลง หยุด --- Monotone group

เพลงเหงาๆ ที่เข้ากับหน้าฝนดีจัง...แม้ว่าอะไรๆ ได้ผ่านไปแล้ว แต่บางครั้งคนเราก็หลงอยู่ในอดีต อยู่กับความหลังที่เคยมีความสุขกับคนที่เรารัก ทำให้เราจมอยู่กับอดีตอันน่าเศร้า...ตลอดเวลา

เนื้อเพลง: หยุด
อัลบั้ม: On The Monotone Stage

วันคืนยังหมุนยังเวียนและผ่าน มองไปทางไหนอะไรก็เปลี่ยน
ผู้คนรอบๆ กายต่างเข้ามาแล้วก็หายไป คงเหลือเพียงฉันคนเดียวที่หยุดที่เก่า

และในวันนี้ก็ไม่เหมือนก่อน ต้องนอนเหงาๆ กับความว่างเปล่า
เคยมีเธอข้างๆ กายแต่วันนี้เธอก็หายไป คงเหลือเพียงฉันคนเดียวที่หยุดตรงนี้

*เธอหยุด ฉันไว้ตรงที่เก่า ปล่อยฉันให้จมกับความเหงา ของหัวใจ
แล้วเธอก็ทิ้งฉันไว้ ทุกสิ่ง ระหว่างสองเรายังเหมือนเคย
ไม่อาจลบเลือนเธอจากใจฉัน ได้เลย โลกยังคงหมุนไป
ก็ฉันยังคงหายใจ อยู่ที่เดิม

เธอในท้องฟ้าน่าจะเหมือนเก่า แต่ในวันนี้ก็ยังดูเปลี่ยน
แค่เธอเท่านั้นเอง เปลี่ยนโลกฉันทั้งใบ
คงเหลือเพียงฉันคนเดียวที่หยุดตรงนี้

ซ้ำ *

แล้วเธอก็ทิ้งๆ ฉันไว้ตรงนี้ อยู่กับตัวฉัน อยู่กับความหลัง...


























Wednesday, June 13, 2007

เพลง Sky --- Tohoshinki

เนื้อเพลง :

[Micky] Whoo!!! Two double oh six Heh I'm talking about this summer You wanna hear it? Yeah...


[U-Know] The crashing waves and the cool, cool breeze I send these things as a gift to you I hope you will like what's in here Under the Sun, August sky


[Hero] 晴れ渡る空 高く どこまでも手を伸ばし

ฮาเร วาตารุ โซรา ทาคาคุ โดโค มาเด โม เต โอ โนบาชิ

ผมยื่นมือออกไปยังท้องฟ้าอันสดใส

光 身体中に浴びて

ฮิคาริ คาโอรา ดาจุอุ อาบิเตะ

ในขณะที่แสงแดดส่องมาที่ตัวผม


騒ぎ出す胸の鼓動 忘れられない夏にしよう

ซาวากิ ดาสุ มุเน โน โคโด วาซุเรราเรนาอิ นาสุ นิ ชิโย

หน้าอกผมมันก็เต้นรัวเพราะความตื่นเต้น ผมกำลังมีฤดูร้อนที่น่าจดจำ


君がここにいるから

คิมิ กา โคโค นิอิรุ คารา

ก็เพราะว่าคุณนั้นอยู่ที่นี่กับผม

[Micky] 脱ぎ捨ててゆく 傷も痛みも

นูกิซุเตเตยุคุ คิซุ โม อิตามิ โม จิยูอุ ดาเค ดาคิชิเมะเตะ อะชิตะ นิ มุคาอุ โย

ผมลืมทิ้งความเจ็บปวดทั้งหมดไป

[All] 自由だけ抱きしめて 明日に向かうよ

ทาอิโยอุ กา อิมา โบคุระ โน อุเอะ เด คากายาคิ ซุซุเครุ คารา

และเผชิญหน้ากับวันพรุ่งนี้ ผมอยากมีอิสระ


[Max] この夏は永遠に終わらない believe me

โคโน นาสุ วา เออิเยน นิ โอวาราไน believe me

เชื่อผมสิ ฤดูร้อนนี้มันจะไม่จบสิ้นเลยล่ะ


[All] 好きな感じで 楽しめばいい 繰り返すeverything's alright

ซูคินา คาน จิ เด ทาโนชิเมบา อิอิ คูริคาเอสุ everything all right

มันก็ไม่เป็นไรหรอกนะถ้าคุณจะมีความสุขกับความรู้สึกแบบนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเรียบร้อย


[Xiah] 何もかも 熱い世界に届け

นานิ โม คา โม อาซูอิ เซคาอิ นิ โทโดเคะ

เราจะทำอะไรก็ได้ แค่ยื่นมือออกไปยังโลกกว้าง


[Max] 南風吹く場所で 見つめる道の先は

มิมามิคาเซะ ฟุคุ บาโช เด มิสุเมรุ มิชิ โน ซาคิ วา

ในที่ๆสายลมนั้นพัดผ่านมา บนถนนที่ผมมองเห็นคุณก่อนหน้านี้


揺れる 蜃気楼の彼方

ยูเรรุ ชิน อึนคิโร โน คานาตา

ความฝันกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว


[U-Know] 夢は僕らに何か 伝えて前に進むため

ยูเมะ วา โบคุรา นิ นานิ คา สุทาเอะเตะ มาเอะ นิ ซูซุมุ ทาเมะ

ความฝันนี้มันจะช่วยให้เราเดินหน้าต่อไป


心 強くさせるよ

โคโคโร ซุ โยคุซาเซ รุ โย

ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง


[Micky] 一度しかない 今日という日に

อิชิโด ชิคานาอิ เคียวโอ โท อิอุ ฮิ นี

ผมไม่มีทางเลือกอื่น ในค่ำคืนนี้หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน


思いきりぶつかれば 扉は開くよ

โอโมอิคิริ บุซุคาเรบา โทบิรา วา ฮิราคุ โย

ผมจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง และเริ่มต้นใหม่


[All] 見上げれば空 見下ろせば海 そこに僕らは生きて

มิอาเกเรบา โซรา มิโอโรเซบา อุมิ โซโคนิ โบคุรา วา อิคิเตะ

มองไปบนท้องฟ้า มองไปยังมหาสมุทร พวกเราอยู่ตรงนั้น


[Max] この夏に巡り逢えた奇蹟 believe you

โคโน นาสุ นิ เมกูริ อาเอตา คิเซคิ believe you

ผมเชื่อคุณว่าเราสองคนได้พบกันอย่างมหัศจรรย์ในฤดูร้อนนี้


[All] 笑ってゆこう 君と一緒に 飛び出せば everything's alright

วาเรตเต ยูโคอุ คิมิ โท อิโช นิ โทบิดาเซะบา everything all right

ผมจะลืมทุกอย่างและหัวเราะออกมาถ้าผมได้อยู่กับคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียบร้อย


[Xiah] 限りなく 晴れ渡るあの空へ

คากิริ นาคุ ฮาเร วาตารุ อาโน โซรา เอ

มุ่งหน้าไปยังท้องฟ้าอันสดใสที่ไม่มีที่สิ้นสุดกันเถอะ


[All] 太陽が今 僕らの上で 輝き続けるから

ทาอิโยอุ กา อิมา โบคุรา โน อุเอ เด คากายาคิ ซูซูเคะรุ คารา

เพราะว่าพระอาทิตย์อยู่เหนือหัวเราและมันก็ส่องแสงไม่หยุดเลย


[Max] この夏は永遠に終わらない believe me

โคโน นาสุ วา เออิเยน นิ โอวาราไน believe me

เชื่อผมสิ ฤดูร้อนนี้มันจะไม่จบสิ้นเลยล่ะ


[All] 好きな感じで 楽しめばいい 繰り返すeverything's alright

ซุคิ นา คานจิ เด ทาโนชิ เมบา อิอิ คุริคาเอซุ everything all right

มันก็ไม่เป็นไรหรอกนะถ้าคุณมีความสุขกับความรู้สึกแบบนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเรียบร้อย


[Xiah] 何もかも 熱い世界に届け

นานิโม คาโม อาสุอิ เซคาอิ นิ โทโดเคะ

เราจะทำอะไรก็ได้ แค่ยื่นมือออกไปยังโลกกว้าง


(rap)[U-Know] Uh! Uh! Here we go... Hey, you can breathe, it's all right Just see the night, close your eyes Imagine all the wonderful things that can be And to you and me, and the sky
[Micky] Touching your voice And feels like there's never end How to say that this was a memory Under your love, under your world Blow your lips , every kiss You and I, here we go around


[All] 太陽が今 僕らの上で 輝き続けるから

ทาอิโยอุ กา อิมา โบคุรา โน อุเอ เด คากายาคิ ซูซูเคะรุ คารา

เพราะว่าพระอาทิตย์อยู่เหนือหัวเราและมันก็ส่องแสงไม่หยุดเลย


[Max] この夏は永遠に終わらない believe me

โคโน นาสุ วา เออิเยน นิ โอวาราไน believe me

เชื่อผมสิ ฤดูร้อนนี้มันจะไม่จบสิ้นเลยล่ะ


[All] 好きな感じで 楽しめばいい 繰り返すeverything's alright

ซุคิ นา คานจิ เด ทาโนชิ เมบา อิอิ คุริคาเอซุ everything all right

มันก็ไม่เป็นไรหรอกนะถ้าคุณมีความสุขกับความรู้สึกแบบนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเรียบร้อย


[Xiah] 何もかも 熱い世界に届け

นานิโม คาโม อาสุอิ เซคาอิ นิ โทโดเคะ

เราจะทำอะไรก็ได้ แค่ยื่นมือออกไปยังโลกกว้าง


Whoa, whoa, whoa, whoa Whoa, whoa, oh... Whoa, whoa, whoa, whoa Whoa, whoa, oh...


























Monday, June 11, 2007

เพลง อยากหลับตา --- นภ พรชำนิ

เพลงเพราะๆ ของนักร้องของไทยที่เสียงดีที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังมาเลยล่ะครับ ไม่น่าเชื่อว่าเสียงจะใสได้ถึงขนาดนี้ ถึงพักหลังๆ พี่แกจะติสต์แตกร้องเพลงทำนองตามใจแก ทำให้เสียไปบ้าง แต่มันก็ปิดบังเสียงดีๆ ของแกไม่ได้จริงๆ ครับ...

ก็อยากจะเอาเพลงแกที่เพราะๆ มาเก็บไว้ฟังในบล๊อก(อีกแล้ว)ฟังแล้วไม่ค่อยเบื่อครับ...

จำได้ว่าฟังเพลงแกครั้งแรกก็คือปี 1994 เมื่อนานมาแล้ว และแน่นอนที่สุดว่าเพลงนั้นก็เป็นเพลงที่ผมชอบมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ฟังแล้วรู้สึกนิ่ง อินอย่างบอกไม่ถูก...ไม่อยากบอกครับ อายเหมือนกัน แต่เชื่อว่าหลายๆ คนฟังเพลงนี้ ต้องชอบแน่นอน...

แล้วก็เพลงนี้ก็เป็นอีกเพลงนึงที่สามารถเติมเต็มความฝันของผมที่ไม่อาจทำได้สำเร็จ เพียงแค่ผมหลับตาครับ ^^ ถึงแม้ว่าพอตื่นมายังยังทรมานกับความจริงอยู่ แต่ผมก็รู้ว่าตอนที่ผมหลับตาลงนั้น มันมีความสุขแค่ไหน...^^"


























Sunday, June 10, 2007

เพลง แอบมีเธอ --- Lift & Oil

อีกเพลงๆ นึงที่ผมชอบเลยล่ะ จำได้ว่า ตอนเด็กๆ สมัยไหนไม่รู้ ลงทุนเก็บค่าขนมซื้อเทปของ ลิฟต์ กับ ออย เลยนะ... ตอนนี้ไปหาโค้ดเพลงในเน็ตเจอก็เลยเอามาเก็บๆ ไว้ฟังใน blog เล่นๆ ^^"...


























Saturday, June 9, 2007

สับสนในตัวเองซ่ะแล้ว...

พักนี้ผมรู้สึกปวดหัวจัง สับสนในหลายๆ สิ่งที่เข้ามาในชีวิต มันเป็นอะไรใหม่ๆ ที่ผมจะต้องผ่าน จะต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ แต่ผมก็ชอบที่จะมากังวล คิดอะไรๆ ไปมากมายทุกทีเลยเชียว บางทีก็รู้สึกปวดหัว ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ...

หลายๆ วันมานี้ผมทุ่มเท หาความรู้ที่เป็นพื้นฐานมาอ่านๆ เพื่อจะปรับพื้นความรู้ตัวเอง แต่แล้วผมกลับมาเพิ่งค้นพบตัวเองว่า ผมเป็นคนที่คิดแบบในมุมมองที่กว้าง ดีกว่าที่คิดอะไรในเชิงลึก...

ที่ว่ามุมกว้างน่ะมันหมายถึงเวลาที่ผมมีเป้าหมายอะไร ผมจะหาข้อมูลเกียวกับเรื่องนั้น คิดหาทางหนีทีไล่ หรือวิธีที่จะผ่านพ้นมาไปได้ มองการณ์ไกลกว่าปกติมาก...

แต่ในเชิงลึกที่ว่าก็คือ ผมทำอะไรที่มันกำลังก้าวไปพร้อมๆ ผมไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูก อย่างผมกำลังหาเรื่องโปรตีนมาอ่านเพื่อเป็นพื้นฐาน ผมก็รวบรวมหาตามเวปไซต์หนังสือ ทั้งทฤษฎี การประยุกต์ใช้มาแบบครอบคลุม เรียกว่าครบถ้วนเลย พร้อมแล้วล่ะที่จะเริ่มอ่านได้....

แต่ผมก็พบว่า แล้วผมจะเริ่มอ่านตรงไหนก่อนดีล่ะ? อันนู้นก็ดี อันนี้ก็ดีนะ เหมือนกับผมกำลังยืนอยู่ในบ่อโคลนตมที่มีโคลนติดเท้าผมอยู่ทำให้ผมเดินไปข้างหน้าไม่ได้ แต่ผมกลับเห็นตัวเองขึ้นไปบนฝั่ง ล้างโคลนออกเรียบร้อยแล้ว!!!

พอเข้าใจใช่ไหมครับ ผมกำลังกังวลกับเรื่องนี้มากเหมือนกัน ผมแก้ปัญหาในปัจจุบันยังไม่ได้เลย แต่กลับมองไปถึงอนาคตซ่ะแล้ว...

ผมไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไงดี ตอนนี้ผมกำลังติดอยู่ในบ่อโคลน แต่กลับลังเล ไม่กล้าก้าวเดินไปทางไหนซักทางกลัวไปหมด แต่ในจิตใต้สำนึกมันบอกผมว่าผมทำได้!!! แต่จริงๆ แล้วผมสับสนว่าจะผ่านมันไปได้ไหม ผมทำได้จริงๆ หรือ?

จริงๆ ผมรู้ว่ามันจะต้องแก้ยังไง ผมเคยคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน สำหรับผมแล้ว ผมต้องการกำลังใจอย่างมาก ในการที่จะ "กล้า" ก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้ไปข้างหน้า...

แต่เทพีแห่งชัยชนะไม่ได้อยู่ข้างผมแล้ว... สับสนในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

Friday, June 8, 2007

เพลง นิดนึงพอ --- Friday

เคยฟังเพลงไหนแล้วรู้สึกว่าพอได้ฟังเพลงนี้แล้ว เนื้อตัวสั่น นิ่งไปชั่วขณะไหมครับ...นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่พอผมฟังแล้ว จะรู้สึกขนลุก หน้าตาจะอินเข้ากับเพลงทันทีเลยล่ะ เพราะมันช่างโดนเหลือเกิน...

ผมพยายามหัดเล่นเพลงนี้หลายทีล่ะ แก็แค่พอเล่นได้ แต่ลีดช่วง intro ที่เพราะๆ ยังไม่ได้ เพราะไม่มีปัญญาทำได้ หากเล่นเพลงนี้ได้เพราะๆ ก็คงดีมากเลยล่ะ คงเล่นเพลงนี้ไปพร้อมๆ กับน้ำตาเลยล่ะ...เว่อร์ไปปล่าวหว่า

^^

ศิลปิน : Friday
เพลง : นิดนึงพอ


























หรือว่าผมจะตัดสินใจผิด...?

จริงๆ ผมว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายวันแล้ว แต่ช่วงนี้มันก็ยังยุ่งๆ อะไรๆ ก็ยังไม่ลงตัวเลย ก็เลยไม่ได้เขียนบล๊อกในหัวข้อนี้เลย ทั้งๆ ที่สัปดาห์นี้ก็มีอะไรๆ ให้เขียนตั้งเยอะแน่ะ...ตอนแรกก็ว่า จะเขียนเรื่องที่ได้เริ่มเรียน ป.โท ไว้ในกรุ๊ปนึงต่างหาก แต่ไปๆ มาๆ รู้สึกว่ามีเวลาที่จะเขียนน้อยลงก็เลยคิดว่าเอาไว้ก่อนจะดีกว่า...

ตอนนี้มีเรื่องๆ นึงที่ผมกำลังคิดอยู่ว่า ผมตัดสินใจผิดรึเปล่าที่เลือกมาเรียน คณะใหม่นี้?....

ตั้งแต่เข้ามาก็รู้สึกว่าเจออะไรใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ แต่ผมรู้สึกว่า มันจะเป็นสังคมที่เห็นแก่ตัวขึ้น ความรู้สึกผมมันบอกอ่ะนะ แต่ผมก็คิดว่า เฮ้ออออ ยังไงก็ต้องเจอล่ะน่า เราก็อยู่ของเราไปจะดีกว่า...

ตอนแรกผมก็เริ่มเรียนกับอาจารย์ที่เป็น ศ. คนนึง ตอนแรกผมค่อนข้างคิดเลยว่า เรียน คณะนี้ต้องดีแน่ๆ มีแต่อาจารย์เก่งๆ ในระดับสูงๆ แต่ผมกลับพบว่า สอนห่วยแตกสิ้นดี ผมว่าคณะผมก็กลางๆ นะ เผลอๆ คณะนี้จะแย่กว่าที่ผมคิดไว้มากๆ เลยล่ะ...

ตอนแรกผมเคยปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาของผมว่า ผมจะมาเรียนกับอาจารย์ท่านนี้ดีไหม รู้ไหมครับ หน้าอาจารย์ผมบ่งบอกอาการไม่ถูก ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ แกก็บอกๆ ว่า ก็แล้วแต่นะ แต่อาจารย์ก็ไม่ค่อยพูดดูเหมือนจะมีอดีตเคลือบแฝงไว้ มาถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไม?

ผมรู้สึกดีใจพิลึกเลย ที่ไม่ได้ตัดสินใจมาเรียนกับอาจารย์ท่านนี้ รู้สึกว่าตัวเองพ้นเคราะห์ พ้นโศก ยังไงยังงั้นเลยนะ...ผมรู้สึกเริ่มมีอคติเพิ่มมากขึ้นยังไงก็ไม่รู้สิ กับการสอน การทำงาน ที่ผมเห็นๆ เลยว่ามันมีจุดมุ่งหมายอย่างไร...

ลืมบอกไปเลยครับว่า อาจารย์ผมเองก็เคยเป็นนักศึกษาในสังกัดของอาจารย์ท่านนี้เหมือนกัน แกเลยรู้ดีถึงอะไรหลายๆ อย่าง และค่อนข้างจะไม่ดีหากพูดถึงอาจารย์เก่าของตัวเอง อีกทั้งงานวิจัยของอาจารย์ของผม ยัง คล้ายๆ กับของอาจารย์ท่านนี้อีก เรียกง่ายๆ ว่า ทำเรื่องคล้ายๆ กัน...

เวลาอาจารย์ท่านนี้สั่งงาน หากมองผิวเผินก็ดูเหมือนว่างานธรรมดา อย่างที่ผมเจอมาแล้ว ผมเองก็เอางานที่แกให้มานั่งคิดว่า เอ๊ะ ต้องทำยังไงบ้างนะ แต่ผมก็รู้สึก จุก เมื่อเห็นเจตนาเคลือบแฝงบางอย่าง....จริงๆ ผมอาจคิดไปเองก็ได้นะครับ...

มันเป็นงานที่แกถนัด และกำลังสนใจอยู่ด้วย ผมเองก็เคยๆ ทำมาใกล้ๆ กับแก โชคดีเลย เพราะผมรู้วิธีทำทั้งหมดอย่างดี เรียกง่ายๆ ว่าผมเองก็เหมือน ศิษย์หลานของแกนั่นแหละ ผมมาคิดๆ ดูว่าเอ๊ะ... งานมันยากเกินไป และเกินเนื้อหาไปไหม จริงๆ แค่ทำถึงตอนนี้ก็พอแล้วนะ...ไม่รู้เหมือนกันว่า พวกเพื่อนๆ ป.โท ของผมเค้าทำเป็นไหม เค้าอาจจะทำเป็นก็ได้นะ...แต่ผมว่า สิ่งที่อาจารย์ให้มันเฉพาะทางเกินไปนิดนึง

อาจจะจริงที่ผมเริ่มมีอคติก็ได้....

จริงๆ ก่อนมาเรียนเนี่ย ผมได้คาดไว้แล้วว่า หากเรียนคณะเดิมผมจะได้อะไรเท่าไหร่ หากมาเรียนคณะนี้จะได้เพิ่มมากกว่าเดิมไหม ซึ่งผมก็คาดเดาว่า มาเรียนคณะนี้จะได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ผมอาจจะคิดผิดถนัดที่ไปคาดหวังอะไรๆ ก่อน...

อย่างแรก ผมต้องจากสิ่งที่ผมถนัด มาเริ่มเรียนสิ่งที่ผมไม่ค่อย ชอบไม่ถนัดเท่าไหร่...ตอนนี้เริ่มมาคิดหัวข้อวิจัยแล้วครับ ผมคิดถึงคณะเดิม หัวข้อวิจัยที่ผมสนใจ แถมยังถนัดอีกด้วย แต่หากมาอยู่คณะนี้ จะเจอหัวข้ออะไรๆ ก็ไม่รู้สิ...

ผมเลยเริ่มคิดแล้วว่า "ผมคิดผิดรึเปล่านะ" แต่อะไรๆ ก็คงต้องเกิด เพราะผมได้เลือกแล้ว สิ่งที่ต้องมองต่อไป คือ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถให้ได้...ก็คงต้องใช้ความอดทนอีกมากครับ หากผมผ่านไปได้ ก็ถือว่าผมได้ชนะตัวเอง ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วล่ะ ^^

สู้ๆ...

Sunday, June 3, 2007

การกลับมาของ Beckham...

ในที่สุด David Beckham ก็ได้รับเรียกกลับมารับใช้ทีมชาติอังกฤษ หลังจากผิดหวังกับบอลโลกปี 2006 นับถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 1 ปีแล้ว ขณะที่ตอนนี้ทีมชาติอังกฤษกำลังจะลุ้นเข้ารอบบอลยูโร 2008 และขุมกำลังที่มีมันห่วยสิ้นดี แถมถ้านัดที่เจอกับ ทีมชาติเอสโตเนียนี้ อังกฤษแพ้แล้วล่ะก็ สตีฟ แมคคลาเรน ต้องโดนเด้งอย่างไม่ต้องสงสัย...

แถมการกลับมาครั้งนี้ ทำได้สุดยอด จริงๆ แบ็คแฮมก็ถือว่าเป็นนักเตะที่เป็นหัวใจของทีมได้อยู่แล้ว และเหมาะสมมากๆ กับตำแหน่งกัปตันทีมชาติ ก่อนที่จะสละตำแหน่งให้กับ จอห์น เทอรี่ และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด มาแย่งตำแหน่ง วึ่งสุดท้าย เทอรี่ ได้เป็นกัปตันต่อไป...

เกมที่ลงมาเป็นเกมนัดอุ่นเครื่องกับ ขุนพล เซเลเซา บราซิล ที่สนามเวมบรีย์แห่งใหม่ ทีมชาติอังกฤษจำเป็นต้องชนะเพื่อ แฟนบอลอังกฤษที่มาดูทีมชาติของตนเล่น เลยขนชุดใหญ่โคตรๆ ลงสนาม เว้นแต่พวกที่ได้รับบาดเจ็บ...

ขณะที่ทีมชาติบราซิลเองก็ขนผู้เล่นชุดผสมมาแต่ก็ยังมีตัวหลัก อย่าง เหยินน้อย และผีกาก้า แต่ได้ลองผู้เล่นใหม่ โดยเฉพาะตำแหน่งผู้รักษาประตูที่ทีมชาติบราซิลช่างอาภัพนัก ที่ขาดแคลนตำแหน่งนี้อย่างแรง หลังจากมีผู้กษาประตูระดับเทพอย่าง เคราดิโอ ทัฟราเรล ผู้รักษาประตูชุดแชมป์โลกปี 1994

นัดนี้แบ็คแฮมก็มีส่วนกับประตูแรก กับ จอห์น เทอรี่ ที่วิ่งสอดขึ้นมาโหม่ง อย่างกับลูกสูตรของทั้งคู่ ทำให้อังกฤษขึ้นนำ 1-0 สถานการณ์คาดว่า อังกฤษกำลังจะมีชัยเหนือบราซิลในรอบ 17 ปี !!!!

แต่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อังกฤษก็คงยังเป็นอังกฤษ มาเสียทีให้ Diego ดาวเตะ เบรเมน สอดขึ้นมาโหม่ง ทั้งๆ ที่ตัวเตี้ยกว่ากองหลังอังกฤษมากโข ทำประตูตีเสมอได้...

จบเกมเสมอไป 1-1 ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลดีกับนัดอุ่นเครื่องแบบนี้ และเป็นการตอกย้ำความสำคัญของ เบ็คแฮม ต่อทีมชาติอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้ แฟนบอลอังกฤษเรียกร้องการกลับมาของเบ็คแฮม และเขาก็ไม่ทำให้แฟนบอลอังกฤษผิดหวัง...

ที่พูดถึงเบ็คแฮมขึ้นมาเพราะผมชื่นชมนักเตะอังกฤษคนนี้คนเดียว ปกติผมเกลียดทีมชาติอังกฤษมากๆ แต่กับเบ็คแฮมแล้ว คือนักเตะอังกฤษที่มีอิทธิพลที่สุดในยุคนี้!!!

มีภาพเบ็คแฮมสวยๆ มาฝากครับ....


ติดตามดูบอลยูโรรอบคัดเลือกที่ อังกฤษ จะเจอกับ เอสโตเนียต่อไป ว่าอังกฤษจะสามารถผ่านเอสโตเนียไปเล่น ยูโร รอบสุดท้ายได้ไหม...555+