Monday, May 28, 2007

เพลง ยังไงก็รัก --- Ost. ยังไงก็รัก

ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าชอบเพลงนี้อย่างแรงครับ ทำให้รู้สึกมีกำลังใจในการคบใครสักคนนึง ทำให้นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ที่สุข ที่ทุกข์กับแฟนของเรา คิดถึงว่าแต่ก่อนเคยรักกันแค่ไหน และตอนที่เราไม่สบาย ตอนที่เรามีปัญหา ใครที่อยู่ข้างๆ เรา...

ยังไงก็รักเธอนะ...อิอิ

เพลง : ยังไงก็รัก (Ost. ยังไงก็รัก)
ศิลปิน : ไก่ สมพล

ที่เธอเคยถามจำได้ไหม เรื่องราวความรักที่มีของเรา
มันจะยังดี มันจะยืนยาว ไปอีกแค่ไหน

ใครเล่าจะรู้วันพรุ่งนี้ มันอาจจะดีหรือร้ายก็ได้
สิ่งใดยืนยัน ถ้อยคำทำนาย ไม่มีใช่ไหม

* หวังว่าความรักเราจะไม่เปลี่ยนไป...
ผ่านวันดีๆ ผ่านวันร้องไห้ จะเจออะไรก็ มีเธออยู่ตรงนี้

** ยังไงก็รัก รักเธอได้ยินไหม ไม่ต้องสงสัยหัวใจที่ให้กัน
ยังไงก็รักเธอคนเดียว ขอแค่เธอคนเดียว
เพราะรักของเราคือความผูกพันธ์...

ฉันจะไม่ขอให้เชื่อฉัน แค่เธอรับรู้และไปด้วยกัน
จับมือฉันไว้ อย่างในวันวาน ขอเธอแค่นั้น

ซ้ำ (*)(**)

เราจะมีกัน... ผูกพันธ์ยืนยาว ใครจะรู้ใจเราเท่าเรา ใช่ไหม...

ซ้ำ(**)(**)

ยังไงก็รัก ยังก็รักเธอคนเดียว ขอแค่เธอคนเดียว


























Friday, May 25, 2007

กับวันที่ว่างเปล่า...

ช่วงนี้อากาศก็กลับมาร้อนอีกแล้ว แปปๆ ก็มืดครึ้ม ฝนจะตกซ่ะยังงั้น ไม่รู้จะเอายังกันแน่ แต่ตอนนี้ที่ ม.ของผมก็กลับมาคึกคักด้วย freshy ทั้งหลายที่กำลังจะเข้ามาเริ่มเรียน ตอนนี้ก็มีรุ่นพี่ไปรับมาทำกิจกรรมอย่างสนุกสนานกันใหญ่ แต่พวกนั้นคงจะรู้ชะตากรรมอันโหดร้ายหลังจากนี้ ว่าจะเกิดอะไรกับตัวเองบ้าง เหอะๆ

ตอนนี้ก็กว่า 2 อาทิตย์กว่าจะได้เริ่มเรียนจริงๆ จังๆ กับเค้าซักทีนึง แถมช่วงนี้อากาศมันเริ่มจะร้อนยังไงไม่รู้ เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย ผมล่ะอยากให้มันตกๆ ซ่ะ จะได้รู้สึกเย็นสบาย

อยากอ่านหนังสือเหมือนกัน แต่ผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม เวลามีเน็ต มีเกมส์ ให้เล่น ก็อดไม่ได้ที่จะต้องไปเล่นเกมส์ เล่นเน็ตก่อน ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มอ่านจริงๆ จังๆ เลย เหลืออีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะเริ่มเรียนแล้ว

ช่วงหลังๆ ผมเริ่มรู้สึกว่ามันว่างเปล่า เวลามันช่างผ่านไปแบบไม่มีค่าอะไรเลย คงเป็นเพราะผมเองด้วย ที่ปล่อยเวลาให้มันผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ผมรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจทำตามที่ใจต้องการได้ อยากพูด อยากคุยใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้...

ทั้งทีผมเองก็น่าจะพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่อย่างว่าล่ะครับ คนเราไม่เคยพอ ผมก็เช่นกัน อยากจะให้อะไรๆ มันดีกว่าที่เป็นอยู่...แต่ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้เลย

เพราะผมไม่มีปัญญา จึงต้องปล่อยเวลาให้มันล่วงเลยผ่านไปแบบนี้ไปเรื่อยๆ...

ผมหวังว่าซักวันนึง ผมจะสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้บ้าง และไม่ปล่อยให้แต่ละวันผ่านไปอย่างว่างเปล่า เลื่อนลอยแบบนี้อีก จะต้องมีสักซักวันที่ผมจะยิ้มออกมา และรู้สึกว่ามันคุ้มค่าเหลือเกินกับการลงทุนลงแรงครั้งนี้...หวังว่ามันคงเป็นเช่นนั้น...สักวันนึง

เพลง นางในฝัน --- Note

เพลง : นางในฝัน
ศิลปิน : Note

กับวันที่ว่างเปล่า จมอยู่กับฝันที่ยาวนาน
มีเพียงความเหงา ในหัวใจ เรื่อยมา

*เฝ้าค้นหา สิ่งที่ หัวใจ ต้องการ
ปรารถนาแต่เพียง แค่ได้พบเจอ
สิ่งที่เพ้อที่ฝัน อยู่บนความจริง ที่แสนไกล

**นางในฝัน ที่ฉันเผ้ารอมาแสนนาน
ดั่งความหมายที่อยู่ในใจ ฉันเรื่อยมา
เอื้อมมือคว้าเท่าไหร่ ไม่เคยได้เจอสักครั้ง
แต่วันนี้เมื่อเธอผ่านมาในหัวใจ
ก็ได้พบว่าเธอคือสิ่งที่ใจ ฉันต้องการ
โปรดเถอะนะคนดี ขอแค่เพียงโอกาสสักครั้ง
ให้ฉันได้รักเธอ...

ซ้ำ *,**


























Wednesday, May 23, 2007

Image Training!!!

หลายๆ วันที่ผ่านมาเนี่ย ผมรู้สึกว่าตัวเองนอนไม่ค่อยหลับเลย กว่าจะหลับลงได้ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ชั่วโมง คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยๆ ทั้งๆ ที่ผมเองก็เหนื่อยในแต่ละวันมากเหมือนกัน จะหลับเป็นตายก็ไม่แปลก แต่แปลกที่พักนี้จะต้องนึก ต้องคิดอะไรก่อนจะหลับทุกที...

มันเป็นวิธีการพัฒนาตนเองอย่างนึง ที่เรียกว่า "Image Training" หรือ "การฝึกจินตนาการ" นั่นเอง...

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมจะต้องเริ่มเรียน ป. โท แล้ว ช่วงนี้เลยมีอะไรให้คิดเยอะแยะไปหมด และผมเองก็ได้เข้าสู่ ไอ้เจ้า Image Training โดยอัตโนมัติ อย่างไม่ได้ตั้งใจ

ไอ้เจ้าวิธีนี้ผมใช้มานานพอสมควรแล้ว ได้อ่านมาจากหนังสือการพัฒนาตนเอง และการสร้างความเชื่อมั่นในตนเองมาเล่มหนึ่ง และหลังจากนั้น ผมก็พบว่าได้รับประโยชน์อย่างมากกับวิธีนี้

เริ่มจากการหลับตาลง แล้วฝึกที่จะจินตนาการถึงความสำเร็จ อาจจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ เช่น การสอบวันพรุ่งนี้ก็ได้... คิดว่าตนเองตื่นเช้ามาอย่างสดใส จับหนังสือมาอ่านแล้วรู้สึกได้ว่า มันช่างหมูอะไรอย่างนี้ (ในความคิดนะ) พอไปถึงห้องสอบ อาจารย์หน้าดุๆ แถมสอนไม่รู้เรื่อง ก็มาแจกข้อสอบให้คุณ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แถมบอกว่า ตั้งใจทำนะ มันไม่ยาก พอเริ่มลงมือทำ คุณก็พบว่า แต่ละข้อมันง่ายเหลือเกิน เหมือนกับที่คุณได้เก็งข้อสอบไว้เมื่อคืนนี้เลย คุณตั้งใจทำมันได้เสร็จสมบูรณ์ทุกข้อ และก็ส่งกระดาษข้อสอบกับอาจารย์ ทุกคนตื่นตะลึงถึงความเก่งของคุณ แถมลุกยืนขึ้น ตบมือชื่มชมคุณอย่างเกรียวกราว เหมือนประหนึ่งคุณได้ชูถ้วย UCL เลยทีเดียว...

ไม่ต้องไปอายครับ ผมยังเขียนได้อย่างไม่อายเลย...เพราะในโลกแห่งจิตนาการ คุณสามารถที่จะนึก จะคิด ทุกสิ่งไปตามที่คุณคิดอย่างอิสระ คุณจะให้ตัวเองเป็นใหญ่ มีความสามารถเหนือผู้อื่นแค่ไหนก็ได้

แต่วิธีนี้ คุณต้องพร้อมในโลกแห่งความเป็นจริงด้วยนะครับ...

ผมมัดจะใช้วิธีนี้สำหรับในการเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ เช่น การเจอเพื่อนใหม่ เรียนวิชาใหม่ การสอบสัมภาษณ์การทำงาน...วิธีนี้จะสามารถเพิ่ม "ความมั่นใจ" ให้กับคุณมากเลยทีเดียว ถ้าคุณรู้จักใช้

แค่คุณมั่นใจในตัวเอง คุณก็จะทำอะไรก็ตามสำเร็จไปแล้วครึ่งนึงแล้วนะครับ...ความมั่นใจ ไม่มีขาย 7-eleven แต่คุณสามารถสร้างขึ้นเองได้ด้วยวิธีนี้...

หวังว่าจะมีประโยชน์บ้างนะครับ เพราะผมใช้แล้ว ทำให้ตัวเองไม่รู้สึกประหม่า แถมยังนิ่ง และทำให้ตัวเองดูมั่นใจกว่าคนอื่นๆ ได้มากเลยล่ะ...

Monday, May 21, 2007

จะวู่วามให้เสียการณ์ใหญ่ไม่ได้...

ตอนนี้ผมต้องคอยเตือนกับตัวเองว่า "จะวู่วาม รีบร้อนไปมากไม่ได้ อาจจะเสียการณ์ใหญ่ได้" ทั้งนี้เพราะเนื่องจากนิสัยของผมเองด้วย ที่มักจะใจร้อน รอคอยอะไรไม่ได้ แต่โชคดีที่ผมอ่านเรื่องราว ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตมาพอสมควร พอที่จะรู้จุดผิดพลาด ของคนเหล่านั้น และนำมาเป็นบทเรียนสอนตัวเองไม่ให้รีบร้อนได้บ้าง...

ผมต้องคอยย้ำกับตัวเองว่า มาที่นี่เพราะอะไร และจะเรียนต่อเพราะอะไร จะต้องทำตอนนี้ให้ดีที่สุดก่อน...

ผมมักจะมีข้อเสียอีก ก็คือเป็นพวกมองการณ์ไกลเกินไป คิดถึงภายหน้าไปไกล รวมทั้งคิดวิธีแก้ไขสิ่งที่น่าจะเกิดในอนาคตไว้ได้เรียบร้อยแล้ว บางครั้งมันเป็นเรื่องดีมาก แต่บางทีมันก็ทำให้เราลืมไปว่า กำลังทำอะไรอยู่ จุดที่เรากำลังยืนอยู่ ยังไม่สามารถที่จะก้าวเดินไปได้ แต่กลับไปคิดอะไรๆ ที่มันยังไม่มาถึงซ่ะแล้ว...

เมื่อวานเพื่อนผมพึ่งเตือนสติอยู่หยกๆ และผมก็เข้าใจ และรับรู้ได้ว่าตัวเองต้องทำอะไรต่อไป...

แต่บางที บางอย่างก็ทำให้ผมต้องทำอะไรที่เกินไป จนบางทีควบคุมไม่ได้เหมือนกัน...

การมี "สติ" เป็นเรื่องสำคัญครับ เราต้องรู้สึกตัวเอง อยู่ตลอดเวลา...ผมก็จำเป็นต้องมีสติ

เรื่องราวในอนาคต ที่ผมวาดไว้ ยังอีกยาวไกล ผมจะให้มันมาพังตอนนี้ไม่ได้...ต้องรู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน

ถึงแม้ บางเรื่องพอที่จะทำได้ บางทีก็สมควรทำ แต่ต้องรู้จักทำอย่างพอประมาณ รู้จักที่จะ "พอ" กับการกระทำของตนเอง เพื่อไม่ให้ไปกระทบ เรื่องในอนาคตได้...

รู้สึกเสียใจ เหมือนกันครับ ที่ว่า ตัวเอง ในเวลานี้สามารถทำได้พียงแค่นี้เอง สมเพศ ตัวเองเล็กๆ ที่ไม่มีโอกาส ที่ดีๆ เหมือนใครๆ...

ต้องรู้จักชนะใจตนเองให้ได้ บังคับใจตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าเป็น ยอดคน ครับ....

Sunday, May 20, 2007

ผมไม่ชอบการถูกเปรียบเทียบเลย...

ผมไม่ชอบการถูกเปรียบเทียบเอาซ่ะเลย ไม่ว่าจะทางตรง ทางอ้อม หรือทั้งสองทางเลย...

วันนี้ผมโทรกลับบ้านไปหาแม่มา โทรไปหาแม่เพราะทั้งคิดถึงและเป็นห่วง แม่ผมก็ต้องทำงานหนัก ทั้งที่อายุก็มากล่ะ คนใช้ก็ไม่รู้จะดูแล เป็นมือเป็นเท้าให้แม่ผมดีไหม ก็เลยโทรไปถาม กลัวแม่จะอยู่ไม่สบาย...

แต่ที่แย่ และเกือบทุกที แม่มักจะพูดถึงลูกคนนู้นคนนี้ ให้ฟังอยู่เรื่อย ผมรู้ว่าแม่ไม่ได้ตั้งใจจะพูด จะเปรียบเทียบ ว่าคนนู้น คนนี้ ทำไมเค้าไปได้ดี ทำไมเค้าเก่ง ทำไมผมถึงเป็นยังงี้ อะไรประมาณนั้น

อย่างคราวนี้ก็พูดถึงเพื่อนผมที่กำลังเรียน โทควบเอกอยู่ที่ ม.นเรศวร แม่บอกว่าเค้าโชคดีจัง ที่ได้ทุนเรียน จบเอก จบมาก็เป็นอาจารย์ แม่ผมก็อยากให้ผมทำงาน มีชื่อเสียงเพื่อแม่จะได้เอาไปคุยกะคนอื่นๆ ได้บ้าง...แต่ใจลึกๆ ของผมรู้สึกกดดันนะ กดดันกับการถูกคาดหวัง...

เพื่อนผมคนนี้สมัยเรียน ม.ปลาย เก่งคู่คี่สูสี กับผมมากที่เดียว แถมยังเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก และนิสัยก็ดีมากเช่นเดียวกัน สุดท้ายก็เอนทรานซ์เข้าเรียนที่ ม.เชียงใหม่ ได้เหมือนกับผม แถมอยู่ห้องเดียวกันเป็นรูมเมทกันด้วย...

แต่กลับกัน ตอนมาเรียนมันไม่ขยันเลย โดดเรียนประจำ นอนตื่นซ่ะเย็น เล่นเกม แบบไม่สนใจเรียน เกรดเทอมแรกของมันได้ 1.5 เกือยจะรีไทร์เลย ส่วนผมได้ 2.8 ก็ยังแย่สำหรับผมเลย ดีว่าผมสำมะเลเทเมา ไม่มาก ยังสนใจอยู่ สุดท้ายมันก็เลือกที่ไปจะไปเรียนปี 1 ใหม่ที่ ม.นเรศวร กับคณะเดิม...

แต่ที่น่าเสียใจคือ มันบอกไว้กับใครไม่รู้ จำไม่ได้ว่า ที่นี่ ไม่ดี เพื่อนๆ ไม่ดี สภาวะแวดล้อมไม่ดี ทำให้มันต้องเป็นแบบนี้ แต่ตอนนั้น มันไม่ได้ดูตัวเองเลย ทั้งๆ ที่ผม และรุ่นพี่ คอยช่วยกันขนาดไหน...แต่ช่างเถอะครับ เห็นเพื่อนได้ดี ผมก็ดีใจด้วย มันไปเรียนที่นู้น มีเพื่อนดีๆ คอยดึง สุดท้าย จบตรีได้เกียรตินิยมอีกตะหาก...

แต่ผมกดดัน กดดันว่าต้องทำอะไรๆ ให้ได้ดีๆ ต้องเชิดหน้าชู ตาพ่อแม่ วงศ์ตระกูลให้ได้ ... อะไรคือคำตอบของทางออกนี้ล่ะ ทางออกก็คือ ผมตัดสินใจจะเรียนต่อ เพื่อเป็นอาจารย์นี่ไง อาชีพที่มีเกียรติ พอที่พ่อ แม่ผมจะเอาไปคุยได้...

ผมอยากเกิดเป็นผู้หญิงจริงๆ จะได้ไม่จำเป็นต้องยุ่ง ต้องสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ใช้ชีวิตตามที่ต้องการ เรียนจบ ทำงาน มีลูก ดูแลครอบครัว รู้สึกสบายดีจัง

ตั้งแต่เด็ก เหมือนกับที่ผมเคยเล่าไปบ้างแล้ว ผมกดดันตั้งแต่เด็ก เพราะเป็นผู้ชาย คนเดียว ของสายตระกูล ของผม ยังมีอีกหลายสาย ที่เค้ามีหน้ามีตาในสังคม แต่สายของผมไม่ค่อยมีหน้ามีตาเท่าไหร่ ผมไม่ค่อยได้รู้จักกับ ผู้หลักผู้ใหญ่สายอื่นๆ มากนัก นี่คงเป็นจุดบอดของผม ที่ไม่อาจใช้ความมีชื่อเสียงของตระกูลผมได้...

ผมรับปากแม่ได้ว่า จะตั้งใจเรียนแน่นอน แต่เรื่องทุน ผมไม่รับปาก เพราะมันเป็นเรื่องของจังหวะและโอกาส แต่ผมจะตั้งใจเรียน ให้ดีที่สุด ไม่ทำให้แม่ผิดหวังแน่นอน...รู้ไหมครับว่าทำไมแม่ผมถึงรักผมมาก นอกจากจะเป็นลูกชายแล้ว ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยทำให้แม่ ครอบครัวต้องผิดหวังเลย ไม่เคยต้องทำให้แม่สียใจ แม้ว่าบางทีผมอาจจะไม่ได้ทำอะไรๆ ให้มันสุดยอดในสายตาแม่ แต่ผมก็ไม่เคยทำอะไรให้เสื่อมเสีย...

อาจเป็นเพราะภายนอกผมเป็นคนนิ่งๆ เก็บกด แม่ผมเลยมองว่าผมเป็นคนเฉื่อยชา ไม่เอาอะไร แต่จริงๆ แล้วผมกดดัน ผมนึก ผมคิดไว้ตลอดอยู่แล้วว่าควรทำยังไง ใจนึงก็อยากที่จะทำให้พ่อแม่ภูมิใจ อีกใจนึงผมก็อยากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ตามที่ผมอยากให้เป็นไปวันๆ...ผมเลยกลายเป็นคนที่ทำอะไรได้ครึ่งๆ กลางๆ ตลอด แล้วผมควรจะทำยังไงดีล่ะ ผมก็คิดไม่ออก...

แต่ตอนนี้ที่ผมทำให้แม่ได้ ก็คือ ตั้งใจเรียน แล้วหาทุนไปเรียนเอกให้ได้ เพื่ออนาคตของผมเอง และของพ่อแม่ด้วย...

คราวนี้คงเข้าใจผมแล้วใช่ไหม ว่าทำไมผมถึงตั้งเป้าให้ตัวเองต้องได้ 4. ต้องหาทุนไปเรียนเอกให้ได้...

Friday, May 18, 2007

เดินเล่น

วันนี้ผมเดินออกไปข้างนอก ออกไปเดินเล่นดูนก ดูไม้ตามประสา หวังจะได้ปลดปล่อยจิตใจนี้ให้รู้สึกปลอดโปร่ง รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง...

เวลาที่ผมมีเรื่องไม่สบายใจ ผมมักจะออกเดิน ไปดูธรรมชาติสีเขียว ดูไปคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย นี่ถ้ามีน้ำชารสเลิศ ดื่มไปด้วยจะยิ่งเป็นอะไรที่วิเศษเลย...

ระหว่างทางที่ผมเดินผ่านไป มองเห็นสิ่งก่อสร้างภายในรั้วมหาวิทยาลัยที่ผมเคยศึกษาอยู่นานโข ทำให้ผมนึกถึงอดีตเก่าก่อน อดีตที่ทำให้ให้ผมต้องยิ้มเวลานึกถึงมัน...

เห็นอาคารเรียนเคมี เก่าๆ มองเห็นห้องสโลปที่เรียนกับอาจารย์ที่หลากหลาย ปิ้งแผ่นใสบ้าง พูดอย่างเดียวบ้าง รึบางวันก็ไม่สอน บางวันผมก็โดดเอง แต่ที่จำได้แม่นเลยคือ ต้องนั่งมองสาวๆ สวยๆ ในเซกชั่นอยู่เรื่อยเลยเชียว...

ผ่านไปถึงอาคารเรียนรวม ที่ๆ ผมต้องเข้ามาเรียนในอาคารแห่งนี้เป็นครั้งแรก ตอนแรกรู้สึกแปลกใจกับอาคารเรียนรวมนี้เหลือเกิน แต่ช่วงที่ได้เรียนในอาคารนี้ ก็เป็นช่วงที่มีเพื่อนเยอะสุด หลายๆ คณะมาเรียนรวมๆ กัน ที่สำคัญ สาวมนุษย์ก็น่ารักเกือบทุกคน ดูแล้วเจริญตา...

ยังมีความทรงจำเกี่ยวกับอาคารแห่งนี้อีกเยอะ เป็นที่ๆ ผมเกือบติด F วิชาภาษาอังกฤษ เพราะทั้งโดดเรียน ตื่นไม่ทัน จนอาจารย์ว่าอยู่เสมอเลย จวนเจียนจริงๆ...

ผมเดินลงไปที่ห้องชมรม น่าแปลกมากที่มันกลับสะอาดจนผิดหูผิดตา จำได้ว่าตอนสมัยผมอยู่ มันทั้งรก ทั้งสกปรก ของอะไรต่อมิอะไรกองๆ กันอยู่เต็มไปหมด ผมมองไปที่ข้างฝา หารูปตัวเองสมัยหนุ่มๆ ที่ถ่ายกับเพื่อน ดูแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้...

ที่แห่งนี้เป็นที่กินเหล้า เมากันได้ยันเช้า ผมนี่นอนอ้วก รินคาห้องมาแล้ว ตกกลางคืน บางคืนก็จะสังสรรค์กันอย่างหนักเลย...

ผมผ่านไปยังห้องกระสอบ เป็นห้องที่เอาไว้เตะ กระสอบทรายเล่น มีทั้งอันใหญ่ อันเล็ก แต่ผมชินกะอันเล็ก มันดูไร้ทางสู้และก็ไม่หนาจนเตะแล้วเจ็บเท้าเกินไป เวลาเตะ ถีบ มันดูปลิวไปตามแรงสะใจ อิอิ...

ผมลองเตะดูสัก ที สองที แต่สังขารมันไม่ให้แล้ว เจ็บกระดูก แปปๆ ก็หมดแรง...สักพัก ผมก็เดินออกมา...

ผมเดินข้ามไปสำนักหอสมุด แถวนั้นมีต้นไม้ใหญ่เยอะเลย ผมก็หาที่นั่ง นั่งมอง นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ดูจะผ่อนคลายลงได้มากทีเดียวเลย...

ผมพอใจล่ะ จิตใจผมปลอดโปร่งขึ้นเยอะ ก็ได้เวลาเดินกลับไปสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง...จะหาโอกาสมาเดินผ่อนคลายแบบนี้ได้อีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แค่ว่ามันจะเป็นเพื่อนผมยามทุกข์ได้เลยล่ะ...

Same voice, Same girl

clouds20xi207220600.jpg by www.pic2us.com

ในที่สุดผมก็มีโอกาสได้ยินเสียงของเธออีกครั้งนึง... ในวันนี้ก็เป็นวันธรรมดาๆ วันนึงในชีวิตของผม ซึ่งมันก็คงจะเป็นวันธรรมดาๆ วันนึง ที่ไม่ค่อยมีความหมายนัก แต่พอได้ยินเสียงของเธอเจื้อยแจ้วอยู่ ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่า วันนี้ช่างเป็นวันที่พิเศษ กว่าวันที่ผ่านๆ มาของผม ผมมีความสุขดีทุกครั้งที่ได้นึกถึงเธอคนนี้...

เสียงของเธอวันนี้มันช่างฟังดูโหดร้ายสำหรับผมเหลือเกิน ผมดูแปลกใจว่า ทำไมวันนี้เสียงเธอช่างดูโหดร้าย ทารุณดีจัง ผมรู้สึกแสบแก้วหูไปหมดเลย ที่ไหนได้ เธอกำลังบ่นๆ พูดๆ กับเรื่องที่เธอลืมไป พอนึกได้อีกเธอ เธอก็พูดอะไรตั้งมากมายออกไปแล้ว แต่ลึกๆ เสียงของเธอก็ยังคงเป็นเสียงที่พิเศษสำหรับผมอยู่ดี เสียงเธอยังคงแฝงไว้ซึ่งความสดใสเหมือนเคย...

เธอพูดๆ แบบไม่ยั้งเลยทีเดียว ผมเองก็รู้สึกว่าเริ่มปวดหู เธอจึงถามผมว่าเป็นอะไรไป มีอะไรรึเปล่า?...

ผมรู้สึกว่าพึ่งได้ตื่นจากความฝันเมื่อกี้นี้เอง จึงบอกเธอไป เธอลดน้ำเสียงลง แล้วบอกต่อไปว่า "พูดเบาๆ ก็ได้" รู้ไหมว่าในช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกได้ถึงในใจของผม มันกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เสียงนี้ของเธอดูเบาบาง น้ำเสียงดูอ่อนหวานลง แทบจะตรงข้ามกับบุคลิกของเธอเลย...

ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าตอนนี้เธอพูดจาเสียงอ่อนหวาน กับผมแบบนี้ตลอดไป ผมจะต้องเพ้อ ต้องรู้สึกทรมานไปถึงขนาดไหน แต่แค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว...

เธอสมกับเป็นผู้หญิงที่มีอิทธิพลกับผมมากซ่ะเหลือเกิน ผมอาจจะเอาชนะคนได้ทั้งโลกนี้ แต่คงมีเธอแค่คนเดียวที่ผมคงยอมแพ้อย่างหมดใจ ผมหวังว่า ความรู้สึกที่มีให้เธอจะยังคงอยู่นานเท่านาน ให้ผมได้รับรู้อยู่เสมอในใจว่า เธอคนนี้มีความสำคัญกับผมมากแค่ไหน...

เธอเปรียบเสมือนความฝันสำหรับผมไปแล้ว ความฝันซึ่งเป็นเหมือนกับกระจกบานใหญ่ที่ส่องสะท้อนจิตใจคนเราออกมาถึงความปรารถนาอันแรงกล้า แน่นอนมันเป็นความฝัน ความฝันที่มันไม่อาจเป็นจริงได้โดยง่าย แต่ทุกคนก็ยังพยายามที่จะทำความฝันนั้นให้สำเร็จให้จงได้...

และแล้วผมก็ตื่นจากภวังค์ ถึงเวลาแห่งการลาจากแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องตื่นจากความฝันเสียที เพื่อที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ แต่ในคราวนี้ผมตื่นมาพร้อมกับจิตใจที่เบิกบาน และมีความหวังอีกครั้ง...

Tuesday, May 15, 2007

คนเก่งต้องหาตัวจับยาก...

ไม่ได้มาเขียนบล็อคนานพอดูเหมือนกันนะครับเนี่ย เพราะช่วงนี้ไม่รู้จะเขียนอะไรดีเหมือนกัน กะว่าจะลองหาเวปที่แนะนำการท่องเที่ยวของอิตาลี เอารูปสวยๆ ลงบล็อคแล้วก็อธิบาย ถึงเมืองที่สวยงามในใจของผม เมืองที่อยากไปท่องเที่ยวมากที่สุด และเหตุผลว่าทำไม แต่พอฝนตกเนี่ยก็เริ่มขี้เกียจอีก...

เวลาฝนตกผมชอบมองดูสายฝนนะครับ บางทีมันก็ตกเอียงๆ ไปตามลม ตกตรงๆ ตกแบบมีลมพัดแรง มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างดี ทั้งๆ ที่มีฝนตกเหมือนกัน ออกไปข้างนอกก็เปียกได้เหมือนกัน...

วันนี้ก็มีข่าวครึกโครมพอสมควร กับ อดีตนักศึกษาจากรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ เจาะข้อมูลของบริษัท AIS เปลี่ยนแปลงข้อมูลของบัตรเติมเงินเอามาขายเอง บริษัทเค้าเสียหายไปร่วม 50 ล้านบาทใน 3 เดือน...

อย่างนี้น่าจะเรียกว่า Cracker คือคนที่เข้าไปในระบบ ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลของเค้า จนเกิดความเสียหาย แต่คำว่า Hacker น่ะ จะเบากว่า คือเข้าไปดูเฉยๆ เจาะระบบไป แต่ไม่ได้เข้าไปเปลี่ยนแปลง สร้างความเสียหายเค้า ผมว่าผมน่าจะเข้าใจถูกนะ...

ก็มีคนยกย่องเยอะครับ เห็นว่า เป็นแฮกเกอร์ อันดับ 3 ของโลกเลยนะ แถมแต่งเข้าไปอีกว่า แม้แต่ นาซ่า ก็ยังโดน แต่เจาะได้ไหม อันนี้ไม่รู้...

สำหรับผมนะ ผมว่าคนนี้น่ะเก่ง แต่ไม่ได้เก่งอะไรซักเท่าไหร่ เพราะโดนจับได้ คนเก่งๆ จิงๆ น่ะ ต้องอย่าโดนจับสินะ เคยได้ยินไหมครับว่า "เก่งจนหาตัวจับยาก" ห่ะ ห่ะ...

คนนี้เคยถูกจับคดีไปทำแบบเดียวกันนี้ที่ True มาแล้วทำเค้าเสียหายไป 105 ล้าน คดีเก่ายังไม่เสร็จเจอใหม่อีกแล้ว หัวโตแน่ครับ...

ก็มีความเห็น บวก ดูหนังกันมากเกินไป บอกเอาคนยังงี้มาช่วยงานรัฐสิ เอาความเก่งเค้ามาใช้ให้ถูกทาง สำหรับผมน่ะ ผมคิดว่า มันไม่ใช่เรื่อง จะแน่ใจได้ไงว่าเอาเค้ามาใช้งานได้ตามต้องการ แน่ใจได้ไงว่ามันจะไม่โกง...คนเรานี่น่ากลัวนะครับ เพื่อนผมเคยพูดไว้ว่า หากมีช่องทางโกง มันโกงแน่ นี่ขนาดมันทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ยังขนาดนี้ แล้วคนนี้เนี่ย โง่ไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปทำให้เค้าจับได้ คิดเหรอว่า ออกมาจะไม่ทำอีก...

คนเราสมควรยอมรับผิดที่เกิดครับ...

อย่างการ์ตูนเรื่องนึง พระเอกเนี่ยถูกยกย่องว่าเป็นพระเจ้า เพราะสามารถทำให้คนนู้น คนนี้ตายได้ตามต้องการ ตำรวจก็อยากจับมาลงโทษแต่ก็ตามจับไม่ได้เพราะพระเอก ฉลาดเหลือเกิน...แต่คนเราก็มีพลาดครับ สุดท้าย จากพระเจ้า ตอนยังไม่โดนจับ พอโดนจับแล้ว ไม่ได้ต่างอะไรกับฆาตกรธรรมดาๆ คนนึงเลย...

เพราะฉะนั้น คนเก่งที่ผมยกย่องน่ะ คือคนที่เก่ง ฉลาด และไม่มีข้อผิดพลาด หรือ ไม่ให้จับได้เลยมากกว่า...

ที่สำคัญ ผมยกย่องนะครับ คนจบรามเนี่ย ผมว่าภาษีดีกว่า ราชภัฏ ซ่ะอีก...ถ้าผมเป็นคนรับคนเข้าทำงานนะ ให้เลือกระหว่างราชภัฏ กับ รามเนี่ย ผมเลือกรามดีกว่า...เพราะส่วนใหญ่ มันมีดีกว่าไงครับ ไม่ได้มองว่าทุกคนจากราชภัฏไม่เก่งนะ แต่โดยรวม mean มันสูงกว่า...

มีคำนึงไปเจอ คนมาคอมเมนท์เกี่ยวกับข่าวนี้ยกย่องเด็กรามครับ...

"ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ที่เด็กรามฯ ทำไม่ได้ ยกเว้นสอบเอนทรานซ์"

^^

Saturday, May 12, 2007

สเปกผู้หญิงของผม...

jaturatep222copy.jpg by www.pic2us.com

ผู้ชายหลายๆ คน คงจะมีผู้หญิงในสเปก หรือผู้หญิงในฝันของตัวเอง หรือบางคนอาจจะไม่มี ประมาณแบบเห็นปุ้บ ชอบปั๊บเหมือนกัน...

สำหรับผมเองน่ะ ตอนนี้ก็มีอารมณ์ที่จะเขียนอะไรต่อมิ อะไร ที่เคยนึก เคยคิด มาลงในบล็อคไว้ เผื่อมาดูความหลัง ตอนแก่แล้ว อิอิ จริงๆ แล้วผมมีผู้หญิงในสเปกเหมือนกันนะ...

แต่ก่อน ตอนเด็กๆ ผมชอบ สาวแว่น แบบคลั่งไคล้เลย ผมยาว หน้าไทยๆ ขาว ๆ หน่อยนึง สูงนิดนึง แต่อย่าสูงกว่าผม เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ อะไรประมาณนั้นเลย...

แต่พอผมได้รู้จักความรักครั้งแรก อาจจะเรียกได้ว่า แฟนคนแรกก็ได้ ภาพต่างๆ ที่ผมนึกคิดไว้ มันแตกสลายไปหมดเลย กลายเป็น ผมชอบ ผู้หญิงหมวยๆ ตาเล็กๆ ยิ้มเก่งๆ คุยเก่ง สดใส ร่าเริง อยู่เสมอไปซ่ะอย่างนั้น...แต่สุดท้ายความรักของผมมันก็จบลง พร้อมกับตัวผมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มองโลกในความเป็นจริงมากขึ้น...

พอผมมาเจอผู้หญิงคนที่สอง ภาพต่างๆ ก็กลับมาใหม่ทั้งหมด แต่มันเป็นภาพใหม่ ที่ตาตรึงอยู่ในใจผมได้ตราบนานแสนนาน เป็นผู้หญิงที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เจอ และตกหลุมรักเธอเข้าให้...

สมัยผมยังเรียนอยู่ ในคาบภาษาอังกฤษ อาจารย์เคยแจกกระดาษเล็กๆ ให้แผ่นนึง แล้วให้เขียนลิสอันดับ 1-5 ของผู้หญิง ผู้ชายในสเปก และผมก็เขียนลงไปตามความรู้สึกตอนนั้น ซึ่งมันไม่น่าเชื่อว่ามันจะตรงกับเธอในตอนหลัง...รู้ไหมครับว่าผมเขียนอะไรลงไปบ้าง อิอิ...

อย่างแรกเลย Cute ผมไม่ได้เขียนว่าต้องสวย นะ แต่เขียนว่าน่ารัก ขอแค่น่ารักก็พอ เพราะน่ารักมันมองได้นานกว่า

ต่อมาก็ Charm ไม่ใช่หมายถึงมีรูปงาม หรือหุ่นดีนะครับ แต่คำนี้สำหรับผมมันหมายถึง มีเสน่ห์ในตัวเอง ไม่ต้องสวย ไม่ต้องน่ารักก็ได้ แต่ต้องมีเสน่ห์ เช่น มียิ้มที่พิฆาต มีตาที่สวยแบบมองแล้วผมต้องหงอ อะไรประมาณนั้น

Cheerful ร่าเริง สดใส ออกแนว บ๊องๆ ติ๊งต๊องหน่อยๆ แต่ไม่ใช่ว่าปัญญาอ่อน สวยใส ไร้สตินะ แต่อารมณ์ดี ทำให้คนอื่นที่อยู่รอบข้างมีความสุข เพราผมเป็นคนเครียดง่าย จริงจัง ผมเลยชอบผู้หญิงที่จะทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียดได้

Clever ฉลาดครับ ไม่ถึงกับต้องฉลาด หลักแหลม เรียนเก่ง แต่ขอให้ทันคน ทันเกม ไหวพริบดี หรือมีความรู้บ้าง เพราผมเป็นผู้ชายพวกแบบ หัวดี (อิอิ) มีความรู้ ผู้หญิงที่ผมจะคุยด้วยง่ายก็ต้องเป็นแบบเดียวกัน หรือคล้ายกัน จะเข้ากันได้ดี ใช่ไหมครับ

ส่วนข้อต่อมาเนี่ยผมจำไม่ได้แล้ว แต่น่าจะต้อง กล้าตัดสินใจ มีความเป็นผู้นำ หรือเข้มแข็ง อะไรประมาณนั้น เพราะผมไม่ชอบเลย ถ้าเจอผู้หญิงที่ไม่กล้าตัดสินใจ ทำอะไรๆ ก็ไม่เป็น กลัวตลอดยังงี้ มันดูน่าสมเพช...น่าจะต้อง ทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องง้อใคร แกร่งหน่อยๆ...

จริงๆ มีอีกเยอะที่เป็นองค์ประกอบนะครับ แหมมม จะเลือกผู้หญิงสักคนมาเป็นคู่ชีวิต ก็ต้องเลือกดีๆ หน่อย และผมเองน่ะก็ต้องเป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงหลายๆ คนให้ได้เหมือนกันนะ

แน่นอนว่าผมเองก็ต้องปรับปรุงตัวเอง เพิ่มจุดเด่นในตัวให้มาก คู่ควร กับ ผู้หญิงที่ผมปรารถนาให้ได้เหมือนกันนะ ไม่ใช่ อยากได้ของสูง แต่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าคู่ควรไหม...

สุดท้ายกระดาษแผ่นที่เขียนน่ะ ต้องแลกกะกลุ่มอื่น และให้เพื่อนๆ กลุ่มอื่นพูดถึงสเปก 5 ข้อนี้ให้ฟังและให้ทายว่าเป็นใครในกลุ่มนั้น และด้วยความบังเอิญ ผมได้ของเธอ และเธอได้ของผม กลุ่มเธออ่านของผมก่อน และเธอก็ทายถูกว่าเป็นผม เพราเหลือคนสุดท้ายแล้ว - -"

แต่พอผมอ่านของเธอน่ะสิ แทบอยากจะบ้าตาย แต่ล่ะข้อมันเกินเอื้อมจริงๆ เหอะๆ...แต่ผมรู้เลยนะ ว่าของเธอแน่นอน 555+ มีอยู่คนเดียวแหละที่จะเขียน และสามารถเลือกได้ขนาดนี้...

จริงๆ แล้ว สเปกเหล่านี้ ก็ไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่หรอกนะครับ จริงๆ ผมเป็นพวกว่า ถ้าชอบแล้ว รักแล้ว ก็ใช่เลย อย่างนั้นมากกว่า แต่เขียนๆ เล่าเรื่องเก่าๆ ให้ฟัง มานึกๆ ดูก็รู้สึกดีนะ ^^

ลองทดสอบ EQ ของคุณกันหน่อยไหม...

พอดีไปเจอเอาเวปที่ทดสอบ EQ เลยเอามาฝากครับ ที่นี่...

http://www.bangkokhealth.com/selftest_htdoc/EQ1.asp

ลองทำกันดูนะครับ มี 52 ข้อนะ...

สำหรับผมลองทำแล้วปรากฎว่าได้ผลดังนี้...

ควบคุมตนเอง 17 อยู่ในช่วงปกติ

เห็นใจผู้อื่น 21 สูงกว่าค่าปกติ

รับผิดชอบ 23 สูงกว่าค่าปกติ

มีแรงจูงใจ 21 สูงกว่าค่าปกติ

ตัดสินใจ และแก้ปัญหา 21 สูงกว่าค่าปกติ

สัมพันธภาพ 20 อยู่ในช่วงปกติ

ภูมิใจตนเอง 15 สูงกว่าค่าปกติ

พอใจชีวิต 20 อยู่ในช่วงปกติ

สุขสงบทางใจ 18 อยู่ในช่วงปกติ

ทำขำๆ ครับ...

Friday, May 4, 2007

ความเหงากับสายฝน...

ขณะที่ผมกะลังเขียนบล็อคของผมอยู่นี่ ฝนตกหนักมาก และเป็นช่วงเวลาเย็น ฟ้าก็เลยไม่ค่อยสว่างเลย พักนี้ผมเริ่มรู้สึกเหงามากขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะหน้าฝน อาจเป็นเพราะว่าฝนมันตก บรรยากาศมันน่านอน น่าง่วงเหลือเกิน...

แต่จริงๆ ผมอาจจะไม่มีอะไรทำก็ได้ เวลาอยู่บ้านก็ไม่ได้อะไร เกมก็ไม่ได้เล่นแล้ว รู้สึกปวดๆ ตาจนต้องใส่แว่นสายตา เพื่อให้ช่วยตัดแสงจากจอคอม แต่บางทีก็อดมองไปนอกหน้าต่างไม่ได้ เผลอมองสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักแล้วก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย...

หน้าฝนเป็นหน้าที่ใครหลายๆ คนรู้สึกเหงา บางคนถึงขั้นอยู่คนเดียวไม่ได้เลย ต้องโทรหาเพื่อน รึ เรียกเพื่อนมาอยู่ด้วย แต่สภาพอากาศแบบนี้ออกไปไหนก็ไม่ได้ ผมก็คิดว่าจะแต่งเรื่องซักเรื่องนึง อาจจะเกี่ยวกับฝนนี้ล่ะ ก็เขียนไปได้ซักพักนึง ก็ลบ เพราะรู้สึกว่า เขียนได้ไม่ถึงอารมณ์พอ รึไม่มีอารมณ์จะเขียนต่อนั่นเอง...อารมณ์ศิลปินดีแท้...

ตอนนี้ผมอยากไปเชียงใหม่แล้ว ไม่อยากอยู่บ้านแล้ว...

เพราะว่าผมอาจเป็นผู้ชายก็ได้ เลยไม่ค่อยคิดถึงบ้านอยากกลับบ้าน อยากไปแสวงหาอะไรใหม่ให้ตัวเองมากกว่า รึ อาจจะอยากหาที่สงบๆ อยู่ เพื่อคิดอะไรๆ ให้สบายๆ ก็ได้...

ถ้าตอนนี้ผมอยู่ห้องเดิมตอนสมัยเรียนอยู่ก็ดี...ผมคงจะเปิดประตูหลังห้อง เอาเก้าอี้มาวางมองดูสายฝน หาอะไรเย็นๆ มานั่งดื่ม ซึ่งอาจเป็นชาก็ได้ นั่งลงเอนหลังไป จิบชาไปมองดูสายฝนที่ตกลงมา เผลอๆ อาจจะเอาหนังสือน่าอ่านมาซักเล่มมาอ่านในขณะที่ฝนตก คงเป็นความสุขไม่น้อย...

ผมอยากที่จะอยู่คนเดียวในมุมสงบ เพื่อรับมือกับความเหงาที่มากับสายฝนนั่นเอง...

แต่ถ้าตอนนี้มีใครซักคนมาอยู่ข้างๆ นั่งมองสายฝนด้วยกันก็คงจะดีไม่น้อย ถึงบรรยากาศภายนอกจะทำให้เหงา แต่ก็คงไม่ทำให้หัวใจมันเหงาไปได้...^^ ใครยังไม่มีคนรู้ใจรีบหาซ่ะนะครับ ก่อนที่ฝนมันจะมาตกในใจ ถึงขั้นนอนซม เพราะขาดความรัก... อิอิ

เพลง ผีกาก้า - Mafia Record ^^

เพลงขำๆๆ เเซวกันเล่นๆๆนะครับ พอสนุกครับ 5555+

About this song : คำเตือน - เพลงนี้จัดทำเฉพาะกิจสำหรับสาวกผีแดงในบอร์ดซังเท่านั้น มีเนื้อหากระแนะกระแหนอย่างรุนแรง ใครที่คิดว่าเป็นเด็กผีที่อ่อนไหวทางอารมณ์ง่าย กรุณาอย่าสะเหร่อฟังเด็ดขาด ใครฟังแล้วอย่ามางอแงโวยวายทีหลัง เพราะคนในบอร์ดผมเขารับกันได้ ใครคิดจะฟังก็ต้องยอมรับให้ได้เช่นกัน

เนื้อเพลง :

ป๋าแพนด้า ป๋าแพนด้า ป๋าแพนด้า ป๋าๆแพนด้า
ป๋าแพนด้า เขาว่าเทพนัก ผมนี้ชักชักอยากจะเห็น
เขาว่าทีมป๋าเล่นเทพจริง โวจะยิงเหมือนนัดโรม่า
บอกไอ้หมูไอ้โด้ไอ้กิ๊กส์ จะยิงกระจายเหมือนนัดผ่านมา
สงสัยป๋าคงลืมไปว่า เขามีกาก้าอยู่อีกทั้งคน
( คิดว่านำอยู่ 3-2 แล้วจะเข้ารอบเนอะ )

หนูกาก้าเขามีเมียสวย แถมหล่อซะด้วยไม่เคยอวดตน
เขามาจากละตินเมกา ลีลาท่วงท่าเขาเทพเกินคน
กาก้าเขาว่าขนม กาก้าเขาว่าขนม จะยิงถล่มให้ผีกระจุย
( เทพเนอะ )

ซานซิโร่เขาว่าอาถรรพ์ ผีแดงมันไม่เคยเก็บชัย
ออกไปเยือนมิลานคราวใด กินแต่ไข่ซะจนพุงกาง
ไปแช่งผีกันดีไหม ถ้าจะไปก็รีบมา
เหมาเครื่องบินขี่ขึ้นฟ้า มาเราพาไปดูยำผี
( ไปเอเธนส์ด้วยกันนะ มิลาน นะ )

แฟนทีมไหน ก็แช่งผี มันปากดี ต้องอัดให้ยับ
แฟนโรม่าพากันมามาก เพราะเขาอยาก อยากจะยำผี
เดอะค๊อปถาม ว่าสงสัย ถามว่าใครมายิงผี
0 ต่อ 3 เลขสวยดี คนยิงผีนี้เก่งจังเลย
ผีกาก้า ผีกาก้า ผีกาก้า ผีๆกาก้า
( เก่งเนาะ ยิงทีมเทพซะกระจาย สวยๆทุกเม็ดเลย )

แชมเปี้ยนลีกเขาว่าทำยาก ทีมกากๆเขาให้หลบไป
ทีมอ่อนๆอย่าคิดชิงชัย เขามอบให้ทีมเทพเข้าชิง
ไปเอเธนส์กันดีไหม ถ้าจะไปก็รีบมา
เหมาเครื่องบินขี่ขึ้นฟ้า ทำไมหว่าไม่มีเด็กผี
( มันไปตกรถแถวไหนน้อ )

แฟนทีมไหน ก็แช่งผี มันปากดี ต้องอัดให้ยับ
แฟนโรม่าพากันมามาก เพราะเขาอยาก อยากจะยำผี
เดอะค๊อปถาม ว่าสงสัย ถามว่าใครมายิงผี
จำชื่อเขาไว้ให้ดี คนยิงผีนี้เก่งจังเลย
ผีกาก้า ผีกาก้า ผีกาก้า ผีๆกาก้า
( กาก้าซัดซะ 3 เม็ด หรอยมั้ย หรอยมั้ย )

Credit web : http://www.soundclick.com/bands/songInfo.cfm?bandID=606384&songID=5305365 ครับ เข้าไปเป็นสมาชิก แล้วโหลดกันได้เลย ^^

Thursday, May 3, 2007

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

ผมไม่ได้เขียนเรื่องราวศิลปะมานานล่ะ วันนี้ว่างๆ เลยไปหาข้อมูลมาให้ดูกันบ้าง ส่วนตัวผมค่อนข้างหลงใหลใน ศิลปะยุคโบราณ ศิลปะยุคคลาสสิค กรีก-โรมัน ศิลปะทางศาสนาคริสต์ และศิลปะยุคเรอเนอซองค์ เอามากๆ เหมือนกัน... ส่วนรูปไม่ต้องแปลกใจที่เป็นรูปวาดหรือ รูปจากจินตนาการนะครับ เพราะตอนนี้บางอย่างเหลือแต่เค้าโครง บางอย่างพังเสียหายไปแล้ว

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ(The Seven Wonders of the Ancient World)ได้ถูกประมวลและจัดโดยนักปราชญ์กรีก ชื่อ แอนติเพเตอร์( Antipater ) แห่งไซดอน ( Sidon )ในศตวรรษที่สองก่อน ค.ศ. โดยสิ่งก่อสร้างเหล่านี้มีอายุประมาณตั้งแต่ 5,000 ปี ก่อนคริสต์กาล - ค.ศ. 500 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7 อย่าง สมัยโบราณเป็นผลงานของมนุษย์ทางด้านวิศวกรรมสถาปัตยกรรมและศิลปะชวนพิศวง จากยุคสมัยแรกเริ่มอารยธรรมของโลกในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ในอียิปต์ ถึงยุคความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีกโบราณ และยุคสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณ ได้แก่

1.พีระมิดแห่งเมืองกิซา (The Great Pyramid of Giza)


ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 ด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี

ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่ามหาปิรามิด
- ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 570,000 ตาราง768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว
- ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร

สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อสร้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต

ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง

ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็นปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิด เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว

ปิรามิดไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน

2.มหาวิหารอาร์เทมีส (The Temple of Artemis at Ephesus)



เป็นวิหารสร้างด้วยหินอ่อน เลียบแบบศิลปะแบบกรีก เพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมีส (เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ของกรีก) ผู้มาจากสวรรค์ ผู้ช่วยชาวเมืองให้พ้นจากหายนะและภัยพิบัติได้ อยู่ในเมืองอีเฟซุสบนชายฝั่งแห่งหนึ่งปัจจุบันนี้ คือประเทศตุรกี ในรัชสมัยของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์แห่งกรีก จัดเป็นวัดที่สวยงามแห่งหนึ่งจนกลายเป็นที่รู้จักว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคเก่า

วิหารนี้มีเนื้อที่ถึง 54,720 ตารางฟุต ตัวอาคารมีความกว้างถึง 400 ฟุต บริเวณโดยรอบวัดแห่งนี้กิน เนื้อที่เกือบ 2 เอเคอร์ และมีเสาหินตั้งตระหง่านรอบตัวอาคารมากกว่า 100 เสาหิน แต่ละเสาหินมีเส้นผ่านศุนย์กลาง 6 ฟุต ความสูง 60 ฟุต หลังคาปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าชื่อว่า อาร์ทิมีส หรืออีกชื่อหนึ่ง ว่าไดอาน่า ประชาชนจะนำสิ่งของมาสักการะบูชา ส่วนมากเป็นสิ่งของมีค่ามากมาย

เคยถูกไฟไหม้เสียหายครึ่งหนึ่งแต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่โดยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ วิหารแห่งนี้ได้ถูก ทำลายสิ้นก่อนปี ค.ศ. 262 จึงเหลือแต่ซากปรักหักพังเก็บไว้ชมอยู่ในกรุงอิสตันบลู ประเทศตุรกี

3.สุสานของกษัตริย์โมโซรุส ( The Mausoleum at Halicarnassus )



สุสานเก่าแก่ของพระเจ้ามุสโซลุส กษัตริย์แห่งเอเซียไมเนอร์ หรือเปอร์เซียในปัจจุบัน สร้างโดยพระมเหสีชื่อ อาเตมีสเซีย ซึ่งเป็นทั้งพระขนิษฐาของพระองค์ด้วย ความตายของพระสวามี ทำให้พระนางเสียพระทัยมากถึงขนาดผสมเถ้าถ่านกระดูกของพระสวามีกับเครื่องดื่มของพระองค์ จึงสร้างสุสานไว้เป็นที่ระลึก คำว่า MAUSOLEUM จึงถูกใช้ขนานนามสุสานขนาดใหญ่ ๆ ในเวลาต่อมา

สุสานเก่าแก่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี้ เป็นผลงานของนายช่างผู้สร้างสรรค์ทั้ง 4 คน ด้วยกัน คือ ฟิดิอัส , ชาติรัสบายฮาซีส , สโคปปาส และ ทิโมทิอัส สร้างด้วยหินอ่อน ในปี ค.ศ. 156 - 190 มีขนาดสูงถึง 140 ฟุต ฐานโดยรอบยาวถึง 460 ฟุต บนยอดสุดเป็นพื้นเหลี่ยม เล็กกว่าฐานล่าง ได้ปั้นเป็นรูปราชรถและม้า 1 ชุด กำลังวิ่ง และมีกษัตริย์พระมเหสียืนอยู่บนราชรถม้า ประกอบด้วยลวดลาย สวยงามมาก

ในปัจจุบันนี้เหลือแต่ซากปรักหักพังบางส่วนบางส่วนเพราะเกิดแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 12 - 13 ขึ้นและชิ้นส่วนเหล่านี้ถูกนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของประเทศอังกฤษชื่อ บริทิช มิวเซียม

4.สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน (The Hanging Gardens of Babylon)



ระหว่างในรัชสมัยของพระเจ้านาโบโปลัซซาร์และพระโอรส คือ พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์ที่สอง ปกครองบาบิโลนซึ่งได้ขยายแสนยานุภาพออกไปมากมายจนรุ่งเรือง พระเจ้านาโบโปลัซซาร์ทรงโปรดให้ สร้างกำแพงมหึมาล้อมรอบมือง และโอรสก็ทรงดำเนินโครงการต่อ สร้างป้อมปราการและจุดป้องกันต่าง ๆ รอบกำแพง มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำยูเฟรตีส

พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์ โปรดให้สร้างสวนลอยซึ่งมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วจนกลายเป็น สิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลกสวนลอยนี้ เป็นสวนที่สร้างอยู่เหนือพื้นดินบนพื้นที่กึ่งทะเลทราย พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์ ทรงสร้างให้พระมเหสีซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งมีดส์ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดี ร่วมกันขับไล่พวกอัสซีเรียออกไปได้ ตามตำนาน พระราชินีเซมีรามิส องค์นี้ทรงอาลัยอาวรณ์ ภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาเปอร์เซีย อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนและไม่โปรดความราบเรียบของนครบาบิโลน ดังนั้นจึงมีการสร้างสวนลอยขึ้นเป็นภูเขาซึ่งสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์

สวนลอยแห่งนี้สร้างเมื่อประมาณ 600 ปี ก่อนคริสตกาล โดยก่อเป็นเนินสูงซ้อนกันเป็นชั้นสูง ๆ สูงถึง 328 ฟุต หรือ 100 เมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงแข็งแกร่งหนาถึง 23 ฟุต หรือ 7 เมตร แต่ละชั้น สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก และ ปลูกดอกไม้ พืชพันธุ์ต่าง ๆ ไว้จำนวนมาก พันธ์พฤกษ์สารพัดชนิดจากทุกมุมโลก รวมทั้งไม้ดอกและไม้เลื้อย บันไดที่พาขึ้นไปสู่สวน กว้างขวางทำด้วยหินอ่อนข้างใต้บันไดมีซุ่มคอยรับน้ำหนัก ข้างบนเฉลียงของสวนลอยมีถังน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงน้ำพุ น้ำตก และสายน้ำต่าง ๆ บนสวนลอย น้ำจำนวนมากมายนี้ สูบมาจากแม่น้ำยูเฟรติสโดยทาส โดยชักน้ำจากเบื้องล่างขึ้นไปสู้ชั้นสูงสุดแล้วปล่อยให้ ไหลลงมาสู่ชั้นต่าง ๆ เบื้องล่าง

พ่อค้าวาณิชที่เดินทางในทะเลทรายมาสู่เมืองนี้ จะได้เห็นสวนลอยแห่งนี้อยู่สูงเด่นเห็นแต่ไกล จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทิศ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฎว่ากรุงบาบิโลน อยู่ในเมืองแบกแดก ของประเทศอิรักปัจจุบัน นับว่าคนสมัยนั้นมัความสามารถทางด้านสถาปัตย์และวิศวกรรมศาสตร์อย่างน่ายกย่อง จึงสามารถรักษาสวนลอยนี้ให้สวยงามเขียวชอุ่มได้ตลอดเวลา หลังจากพระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์สิ้นพระชนม์ลงได้ 22 ปี อาณาจักรนี้ก็ตกเป็นของจักรพรรดิไซรัสมหาราช แห่งเปอร์เชีย สันนิษฐานกันว่า สวนลอยแห่งบาบิโลนนี้ ยังคงอยู่คู่เมืองจนถึงศรรตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล

ปัจจุบันนี้ส่วนที่หลงเหลืออยู่ให้เราได้ชมก็คือบ่อน้ำและโค้งซุ้มประตูหนึ่งหรือสองอัน และนิยาย คำร่ำลือสืบต่อ ๆ กันมา

5.เทวรูปเทพเจ้าซีอุส ( The Statue of Zeus at Olympia)



อนุสาวรีย์นี้เป็นรูปสลักเทพเจ้าซีอูส นั่งบนบัลลังก์สีทองที่แกะสลักด้วยงาช้างจำนวนมากมาประกอบกันขึ้น ผู้ที่ปั้นเทวรูปซีอุสนี้ เป็นปฏิมากรเอกชาวกรีก ชื่อ ฟีดีอัส เป็นคนเดียวกับที่สร้างวิหารพาเธนอน ในกรุงเอเธนส์ และสนามกีฬาโอลิมปิค

เทวรูปซีอุส เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคเก่าแก่สิ่งหนึ่งของโลก คือ สร้างขึ้นประมาณ 2,400 ปีก่อน ระหว่งปี ค.ศ. 53 - 111 ตามตำนานที่จารึกไว้ได้ระบุว่าเทวรูปทำจากงาช้างสูง 58 ฟุต มีขนาดใหญ่กว่าคนปรกติถึง 8 เท่า พระหัตถ์ซ้ายทรงคทา พระหัตถ์ขวารองรับ รูปปั้นแห่งชัยชนะ (A small figure of Victory ) มีเครื่องประดับ ประดาด้วยทองคำล้วน

ชาวโรมันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จูปีเตอร์ ชาวกรีกได้เรียกเทวรูปนี้ว่า ซุส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นผู้นำแห่งเทพเจ้า ชาวกรีกนับถื่อมากที่สุดในยุคนั้น ใครจะออกเดินทางไปเมืองใดต้องมาพรจากพระองค์เสียก่อน

แต่บัดนี้ไม่มีหลักฐานให็เป็นที่ชมได้เพราะได้ถูกไฟเผาไหม้หมดทั้งองค์ในปี ค.ศ. 476 คงเห็นภาพในเหรียญ ตราโบราณ และจากจินตนาการที่ได้มาจากคำบอกเล่า หรือ นิยายปรัมปราเท่านั้น แต่ความงาม ความใหญ่โตศักดิสิทธิ์ ยังคงเป็นที่ยกย่องเล่าลือมาจนถึงปัจจุบันนี้

6.เทวรูปเทพเจ้าเฮลิออส(อะพอลโล) (The Colossus of Rhodes)



เป็นรูปของเทพเจ้าเฮลิออส หรือ อพอลโล สูงถึง 105 ฟุต หรือ 32 เมตร และหนักถึง 295 ตัน หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ในท่ายืน ตัวเทวรูปตั้งอยู่บนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าว องค์เทวรูปยืนถ่างคร่อมปากอ่าว ให้เรือลอดไปมาได้ มีกระจกบานใหญ่ติดอยู่บน อกทำให้เรือที่แล่นออกจากอียิปต์มองเห็นได้ชัดเจน

ประวัติความเป็นมาของรูปปั้นมหึมานี้ ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยปี 312 ก่อนคริสตกาล ชาวเกาะโรดส์ได้ตัดสินใจ ร่วมรบกับพระเจ้าปโตเลมีแห่งอียิปต์ จากการรุกรานของชาวแมซีโดเนียน พวกแมซีโดเนียนเข้าล้อมเกาะไว้ด้วยเรือและทหาร มากมาย แต่ชาวเกาะโรดส์ก็ได้ตีกลับ และเกิดการปะทะกันอยู่เกือบปีจนได้รับชัยชนะ ในบรรดาผู้ที่ร่วมปกป้องเกาะโรดส์ก็มี ปฏิมากรผู้หนึ่งชื่อว่า ชาเรส แห่ง ลินดัส ด้วยความยินดีปรีดาของชาวโรดส์ และเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการหลุดพ้นจากชาว แมซีโดเนียน ชาร์เรส จึงได้รับมอบหมายให้สร้างรูปปั้นบรอนซ์มหึมาของเทพเจ้าแห่งพระอาทิตย์หรืออพอลโล

เฮลิออส หรือ อพอลโล เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปะของชาวกรีกและโรมันสมัยโบราณ ถือกันว่าสวยที่สุดในจำพวกผู้ชาย รูปปั้นนี้มีชื่อว่า โคลอสซัส หล่อขึ้นมาจากโลหะต่าง ๆ ที่เหลือจากการสงครามและชาวแมซีเนียนทิ้งไว้ ชาเรสทำงานหนักตลอดเวลา 12 ปี ทุ่มเทให้กับรูปปั้นนี้ แต่มีเรื่องเล่าว่าพอรูปปั้นนี้เสร็จเขาก็ได้พบว่าคำนวณสัดส่วนผิดไป ชาเรสผิดหวังมากถึงกับปลิดชีพตัวเอง แต่รูปปั้นโคลอสซัสนี้ก็มีชื่อเสียงมากถึงกับเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

รูปปั้นโคลอสซัสมีอายุสั้นที่สุดเพียว 56 ปีเท่านั้น แผ่นดินไหวเมื่อ 224 ปีก่อนศริสกาลทำให้รูปปั้นมหึมาพัง ทลายลงมาระเนระนาด ชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังคงหลงเหลืออยู่ในต้นศตวรรษแรกเมื่อพวกอาหรับยึดครองเกาะโรดส์ในสมัย ศตวรรษที่ 7 รูปปั้นโคลอสซัสถูกขายต่อไปยังพ่อค้าชาวยิว การขนย้ายต้องใช้อูฐเป็นร้อยและวนเวียนถึงเก้าเที่ยว

7.หอประภาคารโรส (The Pharos of Alexandria )



ประภาคารนี้ทำด้วยหินอ่อนสีขาวสลีกลวดลาย วิจิตรงดงาม ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน ท่าเรือของเกาะฟาโรส สร้างในสมัยพระเจ้าปโตเลมีที่สองของอียิปต์ช่วงปี 270 ปีก่อนคริสตกาลสิออกแบบโดยสถาปนิกชาวกรีกชื่อโซสตราโตส

ตามหลักฐานคาดว่าประภาคารนี้สูงถึง 440 ฟุต หรือ 134 เมตร ช่วงล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยม ช่วงกลางเป็นรูปแปดเหลี่ยม และช่วงบนเป็นทรงกลม ยอดบนสุดกของประภาคารนี้ มีภาชนะสำหรับใส่ถ่าน ซึ่งลุกโชติช่วงทั้งวันทั้งคืนเพื่อเป็นไฟสัญญาณไฟบนยอดประภาคารนี้เห็นได้ไกลในทะเลเมดิเตอเรเนียนถึง 25 ไมล์ หรือ 40 กิโลเมตร และช่วงบนมีกระจกขนาดใหญ่ ตามตำนานเล่าขานกันมา กระจกนี้สะท้อน เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล ข้ามไปจนถึงภาคตะวันออกของทะเลเมดิเตอเรเนียนทและเอเชียไมเนอร์

ยังมีการเล่าต่อกันมาอีกว่ากระจกนี้ยังมีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชสำคัญสะท้อนแสงอาทิตย์ไปเผา เรือศัตรูในทะเล เพราะเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเหล่านี้ ทำให้ประภาคารแห่งเมืองอเล็กซานเดรียนี้มีชื่อเสียง เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แม้ว่าไม่ใช่ประภารแห่งแรกในทะเลเมดิเตอเรเนียนแต่ก็เป็นอันที่ใหญ่ที่สุด ประภาคารนี้ได้ชื่อมาจากชื่อเกาะที่มันตั้งอยู่ คือฟาโรสช์และกลายมาเป็นชื่อเรียกประภาคารในภาษาต่าง ๆ

ประภาคารฟาโรสตั้งตระหง่านนำทางสัญจรของเรือเข้าสู่เมืองอเล็กซานเดรียมาเป็นเวลา 9000 ปี จนกระทั่งพวกอาหรับเข้ายึดครองเมือง ประภาคารก็ถูกรื้อทิ้งไป เล่ากันมาว่าพวกอาหรับถูกสายลับซึ่งจักรพรรดิ แห่งคอนสแตนติโนเปิ้ลส่งมาหลอกลวงให้ทำลายประภาคารเสีย เพื่อไม่ให้ใช้มันเป็นประโยชน์ในการเดินเรือของพวกมุสลิม สายลับอ้างว่าข้างใต้ประภาคารมีขุมทรัพย์ฝังอยู่ แต่หลังจากประภาคารถูกทำลายไปแล้วพวกอาหรับถึงตระหนักว่าเสียรู้ ในช่วงนั้นกระจกขนาดใหญ่ก็หล่นร่วงลงมาและแตกละเอียดเป็นผุยผง มีบางส่วนของประภาคารหลงเหลือ และส่วนนี้ก็ยังคงมีอยู่ให้เห็นจนปี ค.ศ.1375 จนแผ่นดินไหวในเมืองอเล็กซานเดรียพังประภาคารชื่อดังก็ทลายลงมาจนสิ้นซาก

อ้างอิง - http://www.wonder7th.com/by_continent.htm สามารถเข้าไปดูสิ่งมหัศจรรย์อื่นๆ ได้ที่นี่นะครับ

คราวหลังหากอารมณ์ดีก็จะเอาพวกศิลปะ สิ่งก่อสร้างๆ สวยๆ มาฝากกันอีกนะ...

อนาคตอะไรก็ไม่แน่นอน...

หลายวันก่อนผมเพิ่งพูดถึงเรื่องอนาคตไว้หยกๆ เลย แต่วันนี้ก็ดันไม่มั่นใจในอนาคตของผมเองซ่ะอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าจะอนาคตไม่ดีไม่สดใสนะครับ เรื่องนั้นผมมั่นใจอยู่แล้วว่าอนาคตหน้าที่การงานจะต้องดีแน่นอน แต่ที่ไม่มั่นใจน่ะ ก็คือ อนาคตของผมจะเป็นไปตามที่ผมได้คาดไว้รึเปล่า...

อาจเป็นเพาะผมมีจุดอ่อนเวลาวางแผนก็คือ เวลามีอะไรนิดอะไรหน่อยมากระทบกระเทือน หรือพอที่จะทำให้แผนที่ผมวางไว้คาดเคลื่อนจากความเป็นจริง จนทำให้ผมเกิดคำถามหรือไม่มั่นใจแล้วล่ะก็ ผมก็จะรู้สึกไม่มั่นใจและจะเก็บไปคิดตลอดเชียว...ผมรู้ตัวเองเลยล่ะว่าผมนี่ทำงานใหญ่ไม่ได้จริงๆ หรือทำได้ก็ไม่รู้น่ะ...

ผมเรียนรู้ว่าคนที่จะประสบความสำเร็จน่ะ จะต้องไม่เก็บเรื่องคิดเรื่องน้อยมาคิดให้รกสมอง มุ่งมั่นทำงานใหญ่ให้สำเร็จก็พอ เรื่องเล็กๆ ให้คนอื่นจัดการเอา แต่เหมือนผมจะทำไม่ได้ ผมคงจะปล่อยให้เรื่องเล็กๆ น้อยกลายเป็นปมในวันข้างหน้าไม่ได้น่ะสิครับ...

ผมคิดว่าผมวางแผนระยะยาวได้เหมาะสม และทุกๆ อย่างกำลังจะไปได้สวยแล้วเชียว ทั้งเรื่องความรัก และเรื่องหน้าที่การงาน ผมกะว่า ไม่เกิน 8-10 ปีนี่ จะต้องพร้อมหรือสำเร็จตามที่ผมหวังแน่นอน...

บางวันผมก็รู้สึกมั่นใจว่ามันสำเร็จ บางวันผมก็รู้สึกไม่มั่นใจว่ามันจะทำสำเร็จได้รึเปล่า สิ่งที่ทำให้ผมไม่มั่นใจน่ะ มันก็คือ "ความไม่แน่นอน" ครับ สิ่งนี้มันเป็นอุปสรรคสำคัญของนักวางแผนจริงๆ...

สิ่งที่สำคัญสำหรับความสำเร็จของแผนระยะยาวได้นั่นก็คือ "การรอคอย" ซึ่งสำหรับคนที่ค่อนข้างใจร้อนอย่างผม รอคอยอะไรนานๆ ไม่ได้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ จึงทำให้เหมือนจะมองดูสถานการณ์ช่างกระท่อนกระแท่นได้ตลอดเวลา...

สำหรับเรื่องหน้าที่การงานในอนาคตผมก็มองๆ ดูและก็คาดไว้บ้างแล้วว่าจะไปยังไง แต่ก็มีเป้าหมายนะครับว่าเป้าหมายสูงสุดคืออะไร และหากไม่ได้อย่างที่หวังจะมีเป้าหมายรองยังไง...

แต่ที่ผมค่อนข้างปวดหัวมากที่สุดก็คงเป็นเรื่องความรักนี่ล่ะครับ เพราะตอนนี้เวลานี้มันก็ยังไม่ลงตัว เลยไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าผมจะเป็นยังไงต่อไป จะเป็นอย่างที่ผมวางแผนไว้ไหม ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ เลยล่ะ...

ถ้าหากผมต้องผิดหวังกับเรื่องนี้ ผมคงเสียเวลาที่มีค่าไปอย่างมหาศาลเกินกว่าที่จะรับได้เลยทีเดียว ผมไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นเลย เรียกได้ว่าคงจะเสียใจไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่ไม่อาจทำมันให้สำเร็จได้...

อย่างแรกที่ผมหวังก็คือ อยากจะแต่งการแต่งงานให้เรียบร้อยในช่วงอายุ 27-28 นี่ล่ะ แต่ผมก็ไม่รู้จะทำสำเร็จไหม เหมือนกัน 555+ แต่ผมมีเหตุผลส่วนตัวนะครับ ไม่ใช่แค่อยากแต่งเฉยๆ ...

แต่ถ้าต้องแต่งช้ากว่านี้ ผมคงเสียดายเวลาน่าดูเลย แต่ถ้ามันสมหวังตามที่ผมคิดไว้ล่ะก็ ก็คงจะเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ ผมไม่อยากฝันอีกต่อไปล่ะ มันทรมาน...แต่มันจะเป็นไปได้ไหมก็ต้องขึ้นอยู่กับอนาคตและตัวผมเองน่ะแหละครับ ผมจะพยายามให้อนาคตของผมมีความแน่นอน แล้วทำให้ได้อย่างที่คิดไว้แล้วกัน...^^

โปรดติดตามการบ่นของผมในตอนต่อไปนะครับ...

Wednesday, May 2, 2007

Voice Male --- อัลบั้มแนะนำ

This summary is not available. Please click here to view the post.

Tuesday, May 1, 2007

เซ็งจิตจริงๆ...

พักนี้รู้สึกแปลกๆ ครับ รึว่าว่างงานจัดก็ไม่รู้ เซ็งๆ อย่างบอกไม่ถูกเลย ฟ้าก็ครึ้มมาหลายวันแต่ฝนไม่ยักกะตก ตอนกลางวันก็ยังร้อน ไม่ค่อยมีอะไรที่อยากทำเลย วันๆ เนี่ยก็เอาแต่ดูข่าวในเวป เล่นเกม ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย...

หนังสือที่ว่าจะอ่านก็อ่านไปหน่อยๆ แล้วแต่ก็ยังวางไว้ที่เดิม ยังไงอยู่ยังงั้น ก็มันไม่มีอารมณ์อ่านจริงๆ ดีว่าคืนนี้ 1 พ.ค. มีบอล รอบตัดเชือก ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ระหว่าง ลิเวอร์พูล เป็ดแดง กับ เชลซี หอยทะเล แต่ใครจะชนะผมไม่สน ขอเข้าไปเตรียมล้างแค้น แมนยู หรือแพ้มิลานให้ทีแล้วกัน...

แต่มันตั้งตอนตี 1.45 นู้น ตอนนี้ 2 ทุ่มกว่าๆ เอง ส่านอนกลางวันเตรียมดูเต็มที่ แต่เวลาก็ยังมีอีกเยอะเลย...

เคยรู้สึกเซ็งจิตบ้างไหมครับ เป็นอาการเซ็งแบบลึกเข้าไปในจิตใจ แบบว่ามีแต่เรื่องเซ็งๆ แต่บ่นไม่ได้ไม่รู้ทำไม อาจเป็นแค่ตอนพักนี้แหละมั้ง ผมหวังว่าอย่างนั้นนะ...

เข้าไปอ่านสเปซของเพื่อนคนนึงว่างๆ เค้าบอกอยากเป็นแอร์ เออ ก็ดีนะมีเป้าหมายในชีวิต ยังไงก็ขอให้สมหวังแล้วกัน แต่ดูท่าภาษาอังกฤษน่ะเป็นปัญหาจริงๆ รวมทั้งตัวผมด้วย ก็ยังคงเป็นปัญหาต่อไป...

มาคิดๆ ดูเออ อนาคตเราเนี่ยเป็นไรดีนะ หวังจะได้เป็นอาจารย์สอนที่ ม.ช. ก็ดีเหมือนกัน รู้ไหมครับว่าทำไมผมอยากเป็นอาจารย์นัก...

เพราะว่า อาชีพเนี้ยยย มันตอบโจทย์ในใจผมได้หลายข้อเลยล่ะ...

ผมอยากทำอาชีพที่มีเกียรติ และมีชื่อเสียง...แน่นอนมีเกียรติแน่ๆ แถมเผลอๆ ทำวิจัยอะไรๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อวงการก็พอจะมีชื่อเสียงง่ายๆ...

ทำไมมันสำคัญรู้ไหมครับ เรื่องชื่อเสียงน่ะ ตั้งแต่ผมเรียนหนังสือรู้ความมา คนรุ่นเก่าๆ พอมีอายุหน่อยก็จะมาถามล่ะว่า เป็นอะไรกับ นายแพทย์บุญส่งน่ะ ผมก็ต้องตอบอย่างซ้ำๆ ซากๆ ว่า อ๋อ... เป็นหลานครับ แล้วก็ต้องตอบอะไรไปอีกซักพักนึงเหมือนกัน มันเยอะเหลือเกินครับ ผมไม่ได้อิจฉาปู่ของผมหรอกนะ ท่านก็ส่วนท่าน ส่วนผมเองก็ถือเอาท่านเป็นแบบอย่าง สร้างชื่อเสียงในวงค์ตระกูล เป็นสิ่งที่ผมคิดมาตลอด หวังว่าสักวันนึงจะมีคนถามลูกๆ หลานๆ ผมบ้างล่ะว่า เป็นอะไรกับ ดร.พันพงศ์ เนี่ย 555+ คงรู้รู้สึกดีน่าดู...

จริงๆ ท่านก็ไม่ใช่ปู่แท้ๆ ของผมหรอกนะ แต่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของปู่แท้ๆ ของผม...งงไหมครับ...ปู่แท้ของผมท่านเป็นผู้พิพากษา จะว่าไปท่านเสียเร็วไปหน่อย ถ้าท่านยังอยู่ถึงตอนนี้ผมคงสมหวังในหน้าที่การงานไปแล้ว...

ไหนก็พูดล่ะนะ พูดอีกนิดนึง ตอนเด็กๆ ผมตั้งใจจะเรียนต่อ ม.ปลายที่เตรียมอุดมนะ ไฮโซจริงๆ เพราะตอนนั้นพี่สาวผม เข้าจุฬาได้ ในตอนเอนทรานซ์ระบบเก่าสอบครั้งเดียวน่ะ ผมเลยฮึดขึ้นมาว่าจะเรียนที่ดีๆ ล่ะ แต่ปู่ผมมาเสียไปก่อน แผนการไปกรุงเทพ การเรียน เลยล้ม...

ต่อมาก็เรื่องผลตอบแทนในวิชาชีพ จริงๆ ก็เงินล่ะนะ มันก็คงไม่ได้มากมายหรอก แต่ก็สูงพอได้เลยล่ะ...

ความมั่นคงในอาชีพก็สูงดีเหมือนกัน ผมเคยทำงานเอกชนมาแล้ว เคยถามตัวเองว่าชีวิตจะมั่นคงตอนไหน จริงอยู่ว่าได้เงินเยอะ แต่ตอนอายุ 40 50 60 ล่ะ จะยังมั่นคงอยู่ไหม จริงอยู่ว่าอะไรๆ ก็ไม่แน่นอนแต่ก็ยังดีกว่าเอกชนนะ...

แน่นอนหน้าตาในสังคม ก็เป็นเหตุผลเหมือนกัน แต่เหตุผลจริงๆ ก็คือ ชื่อเสียงล่ะน่ะ...

มานั่งคิดเรื่องในอนาคตก็รู้สึกดีเหมือนกัน แต่คนอื่นชอบว่าผมน่ะ ชอบคิดไปไกลเกิน มองข้ามช๊อตไปไกลเกินไป ผมก็ไม่รู้หรอกว่าการมองอะไรกว้างๆ ไกลๆ มันดีไหม แต่ผมก็รู้สึกดีนะ ที่ได้วางแผนอะไรๆ ให้มันเป็นอย่างที่ผมคิด เพราะสิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดคือ "ความไม่แน่นอน" นี่ล่ะ ผมเลยต้องมองอะไรไกลๆ ไง...

เอาล่ะ พอจะบรรเทาความเซ็งจิตได้เล็กน้อย ถึงปานกลาง แค่นี้ก็รู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วครับ...