Monday, April 30, 2007

ต้องหาเวลาไปอ่านหนังสือบ้างแล้ว

ช่วงนี้ผมกลับมาดูบล็อคของผมเอง ก็พบว่า ทำไมมันมีแต่ เรื่องที่ผมบ่นๆ เรื่องราวทั่วๆไปในชีวิตใน My life เพลงที่ชอบๆ เอามาลงในบล็อคใน Musics แล้วก็เรื่องที่ผมแต่งๆ เองด้วยอารมณ์สุนทรีย์ แต่ออกจะน้ำเน่าไปหน่อย...

ส่วนเรื่องเก่าๆ อย่างพวก Art of War, Economic อะไรพวกนี้ไม่ค่อยได้อัพเลย ก็เลยรู้ตัวว่า นี่ตูไม่ได้อ่านหนังสือเลยนี่หว่า เลยไม่มีเรื่องอื่นๆ มาลงนอกจากที่ว่ามา สงสัยต้องหาหนังสือมาอ่านล่ะ ส่วนหนังสือเก่าๆ ของผมน่ะ อ่านเกือบหมดแล้ว แต่ตอนนี้ก็มีเรื่องที่เล็งๆ ไว้แล้ว แต่ยังบ่จี๊ นี่ดิ คงต้องรออีกนานหน่อย...

เคยมีอาจารย์อยู่ท่านนึงเคยบอกไว้ว่า คนเราเนี่ยนะอย่างน้อยควรจะอ่านหนังสือจบเดือนล่ะ 1 เล่ม หนังสือแบบความรู้ เรื่องทั่วไปนะครับ ไม่ใช่การ์ตูน เพื่อพัฒนาสมอง และให้รอบรู้อยู่เสมอ...

หลายวันก่อนผมก็ไปค้นๆ พวกหนังสือเก่าๆ ไว้ไปอ่านตอนจะเรียน ป.โท ส่วนใหญ่เป็นหนังสือความรู้ที่ต้องใช้เป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนังสือคู่มือทำแลปสมัย ป.ตรี ครับ ใครที่เรียนต่อ ป.โท จะรู้ว่ามันล้ำค่ามากๆ เลยกับหนังสือทำแลปเนี่ย เพราะตอน ป.โท ต้องหาวิธีการทำเองเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีไดเรคชั่นแลปมากางๆ แล้วก็ทำๆ ล่ะนะ...

ถึงแม้ว่าผมเนี่ยจะเก่ง (^^) พอจำได้เรื่องทำแลปน่ะ ว่าพื้นฐานต้องทำไงบ้าง แต่เรียนต่อไปมันแอดวานซ์แล้วนี่ดิ แต่ก็ยังดีที่มีพื้นฐานดี แต่ก็คงต้องกลับไปอ่านทบทวนล่ะ...

แต่เมื่อวานไปดื่มกับเพื่อนมา เลยหัวมึนๆ ตึ๊บๆ เล็กน้อย ถึงปานกลาง รู้สึกไม่อยากอ่านเลย แต่ถ้าไม่อ่านบ้างกลัวไม่ได้ใช้งานสมอง เด๊วสมองเสื่อมอีก...โฮ้ๆๆ ก็เลยโหลดเกมพัฒนาสมองของเรา 5 ด้านมา ลองดูเวบไซต์ครับที่นี่...http://www.braintrainage.com/mind-game-screen.html

แถมตอนเรียนผมก็รู้สึกกดดันเล็กๆ อีกแล้ว โดยที่ต้องตั้งใจที่จะเรียนให้ได้เกรด 4. ให้ได้ล่ะนะ เพื่ออนาคตด้วยล่ะ วางแผนไว้บ้างพอสมควรแล้ว แต่สงสัยผมจะมาแนวเดิมคือ อยากทำก็ทำอีกล่ะ อารมณ์ศิลปินสูงอีก วิชาไหนอยากเรียนก็เรียน ไม่อยากเรียนก็ปล่อยช่างหัวมันอีก เฮ้อออ...ต้องปรับปรุงตัวครับ

วันนี้ช่วงบ่ายๆ คงต้องหาเวลาไปอ่านหนังสือให้ได้ซัก 10 หน้าเป็นอย่างต่ำครับ สู้ๆ...

Sunday, April 29, 2007

I'm glad to hearing your voice...

ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขจัง เพราะอะไรผมก็ไม่รู้สินะ คงเป็นเพราะผมได้ฟังเสียงของคุณล่ะมั้ง เสียงที่สดใสอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ผมต้องยิ้มไปตลอดเวลาที่ได้ยิน ทำให้ผมรู้สึกประหม่า ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป ใจนึงก็ต้องคอยฟังเสียงของคุณ ใจนึงก็ต้องคิดเรื่องคุยต่อ ว่าต่อไปจะคุยเรื่องอะไรดีนะ มันลำบากมากเลยนะ

เสียงคุณก็ยังคงเหมือนเดิม มันยังดังก้องอยู่เสมอในใจของผม ผมจำได้ จำเสียงของคุณได้ดีเลยล่ะ เสียงแหลมๆ ดังๆ แต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่สดใส คำพูดที่ดูบ้าบอ ไร้สาระ ต๊องๆ จนผมอดคิดไม่ได้ว่าคุณพูดมาได้ไงนะ รู้ไหมบางครั้งมันทำให้ผมคนนี้ถึงกับต้องแป๊ก พูดอะไรไม่ออกเหมือนกันนะ เพราะผมเดาไม่ได้เลยว่า คุณจะพูดอะไรต่อไป...

ถ้าจะต้องเลือกอะไรซักอย่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลกอันดับที่ 8 ล่ะก็ ผมขอเลือกคุณได้ไหม...คุณช่างเป็นผู้หญิงที่มหัศจรรย์สำหรับผมซ่ะจริงๆ ทำให้ผมต้องยิ้มได้ทุกครั้งที่คิดถึงคุณ ต้องประหม่าไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำให้ผมต้องทุกข์ เวลาคุณไม่ได้สนใจผม และที่สำคัญ คุณเป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวในจักรวาลนี้ที่ผมหลงรักแทบเป็นบ้า คุณรู้ตัวไหม...

แต่คิดดูอีกที ผมไม่ขอเลือกคุณเป็น 1 ใน 8 สิ่งมหัศจรรย์ดีกว่า ผมหวง ผมอยากเก็บคุณไว้ในใจของผมคนเดียว ขอให้แม้ว่ายามตื่นลืมตา รึ แม้แต่ตอนที่หลับตานอน ขอให้คุณเป็นคนแรก และคนเดียวที่ผมจะคิดถึง จะได้ไหม...

แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ตอนนี้ แต่ผมก็มีความสุขที่ได้ฟังเสียงของคุณ ทำให้ผมต้องหลงคิดไปไกลเกินไป คิดว่าซักวันนึง จะทำให้คุณมานั่งพูดกับผมใกล้ๆ จะได้ไหมนะ...

แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้คุณรู้คือ...ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้ฟังเสียงของคุณนะ

Thursday, April 26, 2007

ความเดิมตอนที่แล้ว...

แม้ว่าเมื่อวานนี้มันควรจะเป็นวันที่ผมรู้สึกว่าผมจะมีความสุขที่สุดวันนึงก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็ยังเป็นวันนึงที่ผมได้ทำอะไรๆ ที่ควรจะทำลงไปก็แค่นั้นเอง...ผมไม่ได้มีความสุขเลย

เรื่องราวหลากหลายทำให้ผมต้องอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้มันดีซ่ะกว่าถ้าได้อยู่คนเดียว ซื้อเค้กก้อนเล็กๆ มานั่งเก็บตัวอยู่ รอเวลาเที่ยงคืนแล้วก็เป่ามันไป จากนั้นก็ลงมือกินเค้กด้วยความเอร็ดอร่อยอยู่คนเดียว...มันยังดีซ่ะกว่าที่เป็นแบบนี้

ขณะที่ผมตั้งใจจะอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่เชื่อไหมครับว่า มันก็มีเรื่องจนได้ เพราะการได้พบเจอคนอื่นๆ นี่ล่ะ

วันๆ ผมจะนั่งอยู่หน้าคอม เล่นเกม อ่านข่าวกีฬา ถึงเวลากินข้าวก็ลงไปกิน ไม่อยากจะสุงสิงกับใคร...ผมรู้ตัวว่าตอนนี้จะต้องเพ่งใช้สมาธิ ต้องพยายามรวบรวมกำลังเพื่อจะเตรียมตัวไปเรียนต่อ มันใกล้เข้ามาแล้ว

แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไม ผมไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ทำไมต้องว่า ต้องบ่น ต้องทำอะไรๆ ที่ผมต้องหงุดหงิดหรืออารมณ์เสีย...จริงที่ผมหงุดหงิดง่าย และด้วนสภาวะแวดล้อมแบบนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งหงุดหงิดง่ายไปใหญ่เลย

และด้วยนิสัยส่วนตัวคือ ผมจะไม่อธิบายกับใครหรอกว่าผมคิดอะไรอยู่ ไม่บอกด้วยว่าอยากให้ทำยังไง ยกเว้นถ้าผมอยากให้ทำยังงี้ผมจะบอกเอง แต่มันน้อยล่ะที่ผมจะพูด ผมคิดว่าคนเราน่าจะมี เซ้นส์ ที่จะบอกว่าควรทำตัวยังไง เพราะอย่างนี้ไง จึงไม่ค่อยมีใครเข้าใจผม เอาเป็นว่าไม่มีเลยดีกว่าในเวลานี้ และผมก็ไม่อยากให้เข้าใจด้วย มันหงุดหงิดมันน่ารำคาญ ที่ต้องคอยพูด คอยบอก คอยอธิบายสิ่งเหล่านี้มันเป็นนิสัยที่ไม่ดีจริงๆ

อย่างนี้ผมน่าจะเหมาะกับการอยู่คนเดียวจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะมีโลกส่วนตัวอย่างนั้นหรอกนะ แต่อยากจะมีเวลาสักนิดในวันนึง ที่อยากอยู่คนเดียวบ้าง เพื่อทบทวนกับชีวิตในวันนี้...เพียงแต่ช่วงนี้ผมต้องการเวลามากหน่อย ที่จะคิดเท่านั้นเอง

ในเวลานี้จึงเป็นช่วงที่เปราะบางมากในชีวิตผม เพราสมาธิมันกระเจิงได้ง่ายมาก เสียงนู้นเสียงนี่ ก็พอที่จะทำให้ผมรู้สึกอารมณ์เสียได้แล้ว เหมือนกับคนที่พยายามจะเข้าใจในชีวิตตัวเอง แต่ก็หาความสงบไม่ได้ ว่างั้น

ผมเองเป็นคนที่เวลาทำผิดจะยอมรับผิดอย่างตรงไปตรงมา แต่ถ้าผมคิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดล่ะก็ อย่าเชียวที่จะมาหาว่าผมทำผิด ผมจะระเบิดทันทีเลย

หากผมไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวายกับใคร อย่าเชียวที่จะต้องมากล่าวหาผม อย่าเชียวที่พูดจาทำให้ผมหงุดหงิด มันอาจจะผิดที่ผมเป็นคนแบบนี้และไม่เลือกด้วยว่ากับใคร ผมไม่สนใจทั้งนั้น

ทำไมล่ะ กับการที่ผมเนี่ยพยายามรักษาจิตใจตัวเอง พยายามทำให้ตัวเองยังคงสภาพของผมเองอยู่ได้ วันๆ เนี่ยไม่ได้ต้องการจะไปยุ่งกับใครเลยเพราะผมไม่ต้องการความวุ่นวายในชีวิต ตอนนี้มันกำลังเหมือนกับตอนที่ผมเรียนจบใหม่ๆ ผมกำลังคว้าง และไม่รู้จะไปทางไหน คิดจะทำทางไหนมันก็ไปไม่ได้ ไม่สำเร็จ

ธรรมดาผมก็หงุดหงิดอยู่แล้วที่ผมทำไม่ได้ เพราะผมเป็นพวก Perfectionist คนนึงเหมือนกัน ทำอะไรหากคิดว่าจะทำก็ต้องทำให้ได้ ทำให้สำเร็จ และที่สำคัญมันจะต้องเป็นไปตามที่ผมคาดไว้ด้วย ต้องได้ตามที่ต้องการ แต่ถ้าไม่ได้ผมจะไม่โทษใครจะหงุดหงิดโทษตัวเอง

ผมอยากไม่อยากได้คำปรึกษาในช่วงเวลานั้น เพราะผมกำลังทบทวนตัวผมเองอยู่ ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่แค่นั้นมันก็เครียดพอแล้ว กับคำด่า คำบ่น คำที่ปรีกษาได้ไร้สาระอะไรต่างๆ นานาเข้ามา ทำไมไม่ให้ผมได้คิดทบทวน จนอารมณ์ดีเสียก่อน ตอนนั้นผมอยากอยู่คนเดียว หนีโลกอยากไปนั่งขบคิดอะไรๆ คนเดียวในห้องแคบๆ...

แต่ทุกคนก็ต้องเข้ามาทำให้ผมเนี่ยต้องสมาธิแตก ก็ไม่แปลกที่ผมจะไม่หงุดหงิด แต่ทำไมล่ะครับ ผมอยากได้เวลาสักช่วงนึง ห้องเล็กๆ ซักห้องนึง อยู่คนเดียว ขอคิดปลงให้ตก แก้ปัญหาที่มีให้ได้ เท่านั้นเอง...แต่ก็ไม่มีคนเข้าใจ

ในเวลานี้ก็เช่นเดียวกัน ผมได้ตัดสินอนาคตของตัวเองไปแล้ว พยายามทำตัวเองให้นิ่งที่สุด ไม่อยากต้องเก็บเอาอารมณ์คนอื่นมาคิด แต่มันก็ไม่ได้สิน่า

เพราะชีวิตคนเราอยู่คนเดียวไม่ได้ มันต้องอยู่กับคนอื่น ต้องมีเรื่องราวกับคนอื่นด้วยนี่สิ...

ผมก็รู้สึกผิดนะ ที่เป็นแบบนี้ แต่ผมต้องการแก้ไขมัน ผมต้องการจะใช้เวลา และความเงียบสักนิดที่จะคิดอะไรต่อมิอะไรในชีวิต

ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียว ขอร้องอย่ามารบกวนผมอีกเลย...มันน่ารำคาญมากๆ ผมอยากจะบอกอย่างนั้นใจจะขาด และคิดว่าอีกไม่นานผมจะขึ้นไปอยู่เชียงใหม่แล้ว ก็อยากจะอยู่คนเดียว นั่งคิดอะไรๆ คนเดียว ให้สติกลับคืนมาก่อนที่จะเริ่มเรียน ผมว่ามันคงจะดีกับผมถ้าได้ตั้งสมาธิ จดจ่อ กับสิ่งที่ผมจะทำต่อไป...

ผมเคยคิดว่า อยากจะพอล่ะกับชีวิตนี้ อยู่ไปก็ไม่ได้ช่วยทำอะไรให้มันดีขึ้นเลย สภาพแวดล้อม รวมทั้งตัวผมเอง ทำให้มันต้องพังลง ผมรู้สึกท้อแท้ และผิดหวัง ทำไม ทำไมถึงไม่มีโอกาสดีๆ เข้ามาบ้าง ทำไมทำอะไรก็มีแต่อุปสรรค...ไม่อยากจะได้ยินคนบอกว่า "นี่แหละมันคือ รสชาติของชีวิต" พูดแล้วมันได้อะไร เคยคิดกันบ้างไหม

มันไม่ได้เป็นคำพูดที่ดีเลยสักนิด ไม่ได้ช่วยอะไรๆ ให้มันดีเลย ผมรู้อยู่แล้วว่าชีวิตมันก็ต้องมีทั้งสุข ทั้งทุกข์ ในชีวิต...แต่ทำไมไม่ลองพูดใหม่ดูว่า "ลุกขึ้นสู้ต่อไป ต่อไปนี้อยากทำอะไรก็ทำไป แต่มันต้องสำเร็จ จำใส่หัวไว้" ผมยังจะรู้สึกดีกว่า และรู้ว่าครั้งต่อไปจะต้องทำให้ได้...

เขียนยาวมามากพอล่ะ ผมแค่อยากระบายความรู้สึกของตัวเองออกไป และหวังว่าเขียนมันจบไปแล้ว ผมจะสามารถทิ้งความรู้สึกที่ไม่ดีไปกับบทความนี้ได้ไม่มากก็น้อย...หวังว่าอย่างนั้น

Wednesday, April 25, 2007

Happy Birthday To Me...

และวันนี้ก็เป็นวันเกิดของผมครบรอบ 23 ขวบจนได้ ในที่สุดก็ได้แก่จริงๆ แล้ว แต่ก่อนยังคิดว่าตัวเองเอ๊าะๆ ได้อยู่ แต่ตอนนี้ก็คงคิดไม่ไหวแล้วครับนี่ก็ใกล้จะเบญจเพศแล้วนะเนี่ย รู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน...

แต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยได้ตอนอายุ 16-17 เองถือว่าเด็กมากๆ อิอิ แซวเพื่อนรุ่นเดียวกันได้สบายๆ โถ...แก่จังนะตัวเอง แต่ตอนนี้โดนเรียกว่าแก่บ้างแล้ว กรรมมันตามทัน เอิ๊กๆ...

วันนี้ตอนเช้าผมก็ไปทำบุญตักบาตรเล็กๆ มา ถึงมันจะผิดแผนที่วางไว้ว่าจะไปอย่างเงียบๆ ไปบ้าง แต่ก็ได้ตักบาตรสมใจ จากนั้นก็ขึ้นมาจุดธูปไห้พระ ขอพรให้พบเจอแต่สิ่งดีๆ แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือ จุดธูปขอให้คุณปู่คุณย่า ให้พรกับหลานคนนี้ให้เจริญรุ่งเรืองในชีวิต...

วันเวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ ครับ ปกติทุกปีเนี่ยผมจะต้องเป่าเทียนวันเกิด อาจะไม่ใช่เค้กวันเกิด อาจเป็นแค่เทียนแต่ก็เป่ามันเป็นพิธี แต่ท่าปีนี้จะไม่ได้ทำแล้ว เพราะเริ่มรู้สึกว่าไร้สาระ รึว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไม่รู้สิ...

ผมเองก็ไม่อยากขอพรอะไร รึได้พรอะไรจากใครเหมือนกันนะ ก้รู้นี่ว่ามันขอไปก็ไม่ได้หรอก ผมคิดว่าเราต้องทำมันขึ้นมาเองต่างหาก มัวแต่ขอไปเมื่อไหร่มันจะมา ถ้าเราไม่ลงมือทำเอง เลยดูหมือนขวางโลกยังไงก็ไม่รู้ แต่มันก็จริงนี่ว่ามันก็แค่คำพูดเท่านั้นเอง....

แต่จริงๆ ผมก็ขอพรนะ แต่สิ่งที่ผมอยากจะขอนั่นก็ พระพุทธรูป กับ วิญญาณคุณปู่คุณย่าของผม ว่าอยากให้ช่วยคุ้มครอง ชีวิตเจริญก้าวหน้า แต่กะคนอื่นเนี่ย ผมไม่ค่อยอยากได้เท่าไหร่นะครับ ถ้าได้พรจากคนอื่นก็ดี เหมือนว่าเรามองว่าอะไรที่มันไม่มีตัวตนมันศักดิ์สิทธิ์กว่า เหมือนเชื่อเรื่องโชคลาง ผีสาง ว่างั้น ไม่รู้ว่ามีไหม แต่เชื่อ เหอะๆ...

ถึงปีนี้จะไม่ได้พรอะไรแต่ผมก็มีความสุขไปตามสภาพล่ะนะ...สุดท้ายนี้ก็ขอบอกว่า

Wishing all Bests come to u. Enjoy your life ... (^^)

Tuesday, April 24, 2007

วันที่ 24 เมษาแล้วนะ

วันนี้ก็ใกล้จะสิ้นเดือนแล้ว และอย่างที่ผมได้พูดไปนั่นก็คือ วันที่ร้อนที่ หรืออาจจะเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดได้เข้ามาแล้ว...

ส่วนผมเนี่ยแทบจะอยู่กะแอร์ตลอด 24 ชั่วโมงเลย แต่ไม่น่าเชื่อ แอร์ก็ยังเอาไม่ค่อยอยู่เพราะบ้านผมน่ะไม่ได้ออกแบบมาให้ติดแอร์ แอร์มันเลยไม่เย็นเท่าที่ควร แต่แดดนี่สิ ส่องได้ส่องดี สรุปอยู่แอร์แต่ไม่ได้เย็นเลย พออยู่ได้...

วันนี้ผมก็ต้องเสียเงินไปซื้อของใช้ส่วนตัวอีกแล้ว จริงๆ ก็มีความสุขดีนะครับได้ออกไปช้อปปิ้งซื้อของใช้ส่วนตัว เพราะผมเองก็เลือกของพวกนี้เหมือนกัน แต่คราวนี้งบมันมีน้อยน่ะครับ ซื้อไปๆ มาก็หลายร้อยอยู่ ขนาดซื้อแบบจำกัดจำเขี่ยมากๆๆๆๆๆๆๆๆ เลยครับ....ที่บ่นเนี่ยเพราะตังไม่ได้หาเองแล้วครับ แบมือขอเอง ก็ต้องได้รับคำบ่นมากหน่อย...

นี่ยังซื้อไม่หมดนะเนี่ย ต้องเก็บไว้ซื้อพวก โรลออน กะครีมทาหน้าอีก แพงพอสมควรกับเวลานี้ ใครอย่าหาว่าผมกระแดะใช้ครีมทาหน้าเลยนะ ผมใช้มาตั้งกะอยู่ ม.5 แล้ว หลังจากนั้นหยุดใช้ไม่ได้เลย ถ้าหยุด หน้าจะโทรมลงอย่างรวดเร็ว จะมีผื่นขึ้น แต่ไม่ใช่ผื่นแพ้นะ ประมาณว่า หน้าเป็นขุ่ยๆ ว่างั้น ก็เลยต้องใช้มาตลอดเลย T-T

นี่ขนาดของส่วนตัวผมเองนะเนี่ย แต่ก่อนตอนยังมีเงิน และหาเงินเองได้นะ ช้อปกระจายของพวกนี้ เป็นความชอบส่วนตัวน่ะครับ ผมไม่ชอบใช้ของซ้ำๆ จะเปลี่ยนลองไปเรื่อยๆ มากกว่า แชมพูก็จะใช้ไม่ต่ำกว่า 2 ยี่ห้อ สบู่ก้อน สบู่เหลว ยาสีฟัน ฯ เหมือนกัน เรียกว่าใช้ตามอารมณ์ วันนี้อยากใช้แบบนี้ก็จะได้ใช้ บางวันอาจจะอยากให้สบู่เย็นๆ บ้าง ตามประสาคนขี้เห่อ...

แล้วถ้าต้องดูแลใครสักคนเนี่ย ต้องใช้ขนาดไหนนะเนี่ย ส่วนตัวก็ยังเยอะแล้ว แต่โชคดีแฟนผมเค้าซกมก เอ้ยย ไม่ค่อยใช้ของพวกนี้เยอะเท่าไหร่ ผมใช้เยอะกว่าอีก - -"

วันนี้ก็แวะผ่านไปดูหนังสือที่ร้านหนังสืออีก ดันนนน มีหนังสือที่ผมจำเป็นต้องซื้ออีก นั่นก็คือ "จักรพรรดิ์นักรบ นโบเลียน เล่ม 2" เพราะว่าซื้อเล่มแรกไปล่ะไง เลยต้องซื้อเล่ม 2 ด้วยเพราะสะสมให้ครบ ก็จะเป็นตอนที่จะก้าวสู่ตำแหน่งจักรพรรดิ์แห่งฝรั่งเศส และเรื่องราวถึงตอนจบชีวิตด้วย รอเก็บตังอีกนิด แล้วไว้จะมาเล่าให้ฟังบางครับ...

สรุปว่าวันนี้ร้อนจริงๆ เอาล่ะ อย่างนี้ผมต้องไปอาบน้ำอาบท่า ลองของใหม่ซักหน่อยล่ะ เห่อ อิอิ...

Monday, April 23, 2007

เพลง Girlfriend --- Tri Ad

สำหรับเพลงนี้ "Girlfriend" ของวงนี้ซึ่งออกมาแค่ 2 เพลงเอง ยังไม่ออกอัลบั้มเต็มเลย รึผมไม่รู้ก็ไม่รู้สิ...เป็นทำนองที่ฟังดูเพราะดีสำหรับผมนะ มันค่อนข้างจะเน้นเนื้อหา และเสียงร้องประสานเสียงทำนอง กับเนื้อเพลง สามารถทำให้เรานึกถึงความหมายของเนื้อเพลงได้ง่ายๆ ว่าคนแต่งเพลงนั้นรู้สึกอย่างไร

ด้วยคำพูดง่ายๆ นี่แหละ ผมว่ามันบ่งบอกความรู้สึกได้ดีจริงๆ ผสมผสานกับความน่าหลงไหลของผู้หญิงสักคนนึง แล้วถ่ายทอดความรู้สึกอันนั้น ออกมากับเสียงเพลงผ่าน เนื้อร้องและทำนองได้ดีทีเดียว

Be my girlfriend...เป็นแฟนผมเถอะ ถ้าหากว่าคุณยังไม่ใคร ก็อยากให้คุณรับผมไว้ในหัวใจสักคน อะไรประมาณนั้น เน่าดีเหมือนกัน แต่เน่าๆ นี่แหละ มันก็เกิดขึ้นกับชีวิตคนเราได้เน่ายิ่งกว่านิยายน้ำเน่า หรือ ละครหลังข่าวซ่ะอีกแน่ะ...

ลองฟังดูนะครับ ^^...

ศิลปิน : Tri Ad
เพลง : Girlfriend

เธอคนนี้ ที่ทำให้ใจต้องสั่นไหว
เธอคนนี้ ที่ทำให้ใจต้องร้อนรน
เธอคนนี้ ที่ทำให้มีอาการสับสนทางใจ

มองตรงไหน จะทำอะไรก็น่ารัก
มองตรงไหน จะดูมุมไหนก็สวยดี
มองกี่ที่ ก็ทำเอาใจของฉันหล่นหายทั้งใจ

* อยากให้รู้นะ ว่าเหงาใจ อยากให้รู้ว่าฉันไม่มีใครให้คอยรัก
อยากจะขอนะ หากเธอเป็นเหมือนกัน ช่วยรับฉันไว้สักคนในหัวใจ

** ฉันรักเธอ ฉันชอบเธอ รู้รึเปล่า แค่อยากจะเห็นหน้าทุกวัน
ฉันรักเธอ ฉันชอบเธอ ได้รึเปล่า อยากให้เธอนั้นมารักกัน

ตอนเธอยิ้ม เธอทำให้โลกนั้นสดใส
แก้มใสใส เธอเหมือนดอกไม้ที่เริ่มบาน
ตาคู่นั้น ยิ่งทำให้ใจของฉันต้องเพ้อ ถึงเธอ

ใครคนไหน จะดีกับฉันอย่างเธอนะ
ใครคนไหน จะคุยกับฉันอย่างรู้ใจ
ใครคนไหน ก็ไม่เคยทำให้ฉันถูกใจเหมือนเธอ

ซ้ำ *,**

รู้ไหมมีคนที่รออยู่ตรงนี้ เขาแค่รักคนเดียว แต่เธอจะมีไหม

ซ้ำ **,**

Be my girlfriend... (til fade)



























Sunday, April 22, 2007

Your Picture...

ทุกครั้งที่ผมได้มองรูปถ่ายของคุณ ผมจะต้องเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวทุกครั้งไป ไม่ว่าจะเป็นในยามที่ผมกำลังมีความทุกข์ หรือกำลังมีความสุขอยู่ก็ตาม...

แต่คุณจะรู้บ้างไหมว่า ลึกๆ แล้ว คุณได้สร้างความทุกข์ให้ผมได้มากมายขนาดไหน แม้ว่าผมจะมีความสุขเมื่อได้มองรูปของคุณ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็ต้องรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจขึ้นมาแทนที่ความสุขนั้น...

ความเป็นจริงก็คือ ผมได้แค่มองรูปคุณ ได้แค่คิดถึงคุณอยู่ข้างเดียวเท่านั้น...

ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกครั้งว่า ทำไม ทำไม คุณถึงไม่ได้รักผมเลย ทำไมคุณถึงไม่สนใจผู้ชายคนนี้บ้าง ทั้งๆ ที่ผมก็ได้บอกความรู้สึกนั้นให้กับคุณได้รับรู้ไปแล้ว แต่คุณก็ทำให้ความรู้สึกของผมนั้นพัดหายตามสายลมไป...

คุณช่างเจ้าเล่ห์นัก ชอบทำตัวน่ารักเกินเหตุ...คุณไม่คิดบ้างหรือว่า ทำอย่างนี้ วันนึง ผมจะต้องหลงรักคุณอย่างหัวปักหัวป้ำ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

รอยยิ้มของคุณช่างพิฆาตผมยิ่งนัก ทำให้ผมหลงรักยังไม่พอ ยังทำให้ผมต้องทนทุกข์กับคำพูดที่ได้พูดออกไป แต่กลับโดนรอยยิ้มของคุณทำให้มันหมดความหมายไปทันที...

รู้ไหมว่าทำไมผมถึงชอบมองรูปถ่ายคุณมากนัก ... เพราะผมชอบ ผมชอบที่ได้เห็นว่าคุณจะยิ้มให้ผมแค่คนเดียว ผมจะไม่เจ็บปวดหากไม่เห็นว่าคุณได้ยิ้มให้ผู้ชายคนอื่นๆ เหมือนกัน

ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงคุณจะแทบไม่เคยที่จะสนใจผู้ชายคนนี้เลย ไม่เคยมองเลยสักครั้งว่าคนๆ นี้กำลังเฝ้ามองคุณอยู่ทุกช่วงเวลาที่ใด้อยู่ใกล้ๆ กัน...

หากผมทำได้ ผมอยากจะกอดคุณเดี๋ยวนี้เลย ...ผมอยากจะกอดคุณไว้ ให้เราสองคนสบสายตากันอย่างใกล้ชิด ผมรู้ว่าสิ่งต่อไปที่คุณจะทำคือ มองผมอย่างเจ้าเล่ห์ และก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา ผมอยู่ใกล้คุณแค่นี้เอง ถ้าผมจะขอหอมแก้มคุณจะว่าอะไรไหม?...

ผมรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของเราทั้งสอง แน่นอนที่สุด ตอนนี้จะต้องเหมาะสมแน่ๆ ที่จะประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากที่ช่างมีเสน่ห์ของคุณ...ผมอยากให้จูบนี้มีความหมายว่า "ผมรักคุณ" และเปรียบเสมือนพันธะสัญญาว่า ต่อไปนี้เราสองคนจะรักกันตราบชั่วนิจนิรันดร์

ผมไม่อยากตื่นจากความฝันกลางวันนี้เลย แต่คนเราก็หลีกหนีความเป็นจริงไปไม่พ้น ผมกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง โลกที่มีแต่ตัวผม และรูปถ่ายของคุณอยู่ตรงหน้า...

ถึงจะเป็นได้แค่ฝัน ผมจะขอฝันให้นานกว่านี้ได้ไหม แม้ว่าผมจะต้องหลับฝันไปตลอดชีวิตอย่างนี้ ผมก็ยอม หากได้อยู่เคียงข้างคุณในความฝันตลอดไป...

ขอโทษ ที่ผมไม่อาจห้ามใจได้?

การที่เราจะรักใครจริงๆ จังๆ เป็นเรื่องที่ผิดหรือ? ความรักไม่ใช่ความผิด แต่คนต่างหากที่กำลังทำผิด บางทีทั้งที่คนเรารู้ตัวว่าทำผิดก็ยังจะมันต่อไป ทำไม?

การได้ความรักนั้นมาครอบครอง เป็นความสุข? ใช่แน่นอน... แต่การที่ไม่มีวันได้ความรักนั้นมาครอบครอง จะต้องเป็นทุกข์เสมอไปหรือ? ก็คงจะไม่ใช่...

การที่จะรักผู้หญิงสักคนเป็นเรื่องผิดหรือ? ความรักนั้นคือความผิดใช่ไหม... มีอยู่ 3 สิ่งที่เราไม่สามารถอดกลั้นและปกปิดมันได้ ก็คือ ไอ จาม และความรัก งั้นมันเป็นเรื่องผิดใช่ไหมที่อดกลั้นไม่ไหว จึงทำสิ่งที่ผิดลงไป...

ผมพยายามอดกลั้นมันไว้แล้ว พยายามใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ แต่มันใช้เหตุผลไม่ได้กับคำว่า "รัก"

มีใครรู้ตัวบางว่า คุณรู้สึก "รัก" ใครบางคนตอนไหน?

หากคนนั้นตอบว่า ใช่ ฉันรู้ว่าฉันรักเค้าตอนไหน คนๆ นั้นไม่ได้รักใครจริง...

แต่คนที่ตอบว่า ไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเผลอใจรักไปตอนไหน ตอนไหนกันแน่ที่ฉันหลงรักเขา ฉันไม่แน่ใจ...นั่นแหละ คุณรักเขาจริงๆ...

ความรักไม่ได้กำหนดเวลาแน่นอนว่าจะรักได้ตอนไหน เมื่อไหร่...แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถตอบใจตัวเองได้ว่า คุณรักเขารึยัง ได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นนั่นแหละ ถึงจะรู้ใจตัวเองได้จริงๆ...

ความรักจึงเป็นเรื่องที่บริสุทธิ์ และไม่สามารถที่หักห้ามใจได้...

หากมันเป็นความผิด ผมก็จะขอรับมันไว้คนเดียว...ไม่รู้บ้างหรือว่าผมก็ทรมานกับมัน ไม่น้อยไปกว่าคุณเลย ผมก็รู้สึกเจ็บเช่นเดียวกัน สิ่งที่ผมได้ทำกับคุณ มันได้สะท้อนกลับมาที่ผมจังๆ เหมือนมองตัวเองในกระจกเงา

ผมรับรู้ได้ทุกอย่างที่ใจของคุณรับรู้ได้ ความทุกข์ ความสุข ที่เกิดขึ้น แล้วไม่คิดบ้างหรือว่า ผมก็เป็นทุกข์ เช่นเดียวกัน...ผมได้ตอบแทนความ "ไว้ใจ" ที่ผมเคยพูดไว้ ด้วย รอยน้ำตา ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจของคุณ

ถ้าผมใจแข็งกว่านี้ ผมคงจะได้รับคำตอบจากใจจริงๆ เสียที...แต่จะรู้บ้างไหม ว่าชีวิตนี้มีอะไรมากกว่า "ความรัก" มากมายนัก และสิ่งนั้นสามารถกีดขวางความรักของเราไว้ได้

ถึงแม้วันนึงผมจะต้องเสียใจอย่างมากมาย ที่ไม่อาจครอบครองความรักนั้นไว้ได้ แต่ผมจะยิ้มอย่างมีความสุข หาก "รัก" นั้นมีความสุข ผมขอแค่เฝ้ามองอยู่ไกลๆ หากเธอยิ้ม ผมก็จะยิ้มไปด้วย หากเธอเศร้า ผมก็จะเศร้าไปด้วย...

ใครสักคนนึงที่รักผมได้มากมาย รู้ไหมว่าผมก็รักคุณเช่นเดียวกัน แต่คุณไม่อาจสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าผมได้ ไม่อาจจะทำให้ผมยิ้มตาม เวลาที่คุณยิ้มอย่างมีความสุขได้ ชีวิตนี้ผมคงทำได้แค่ "ขอโทษ" ที่ทำให้คุณต้องเสียใจ กับผู้ชายคนนี้...

สุดท้าย...ผมอยากให้คุณรับรู้เอาไว้ว่า "ผมเสียใจ" และไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเลย...

อภิมหึมามหาเศรษฐี...!!!

เมื่อวานเพิ่งมีโอกาสได้ดูละครเรื่องใหม่ เพิ่งลงจอ นั่นก็คือ "อภิมหึมามหาเศรษฐี" นั่นเอง ฉายทุกวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เวลา 20.30-22.30 น. โดยเริ่มตอนแรกวันเสาร์ที่ 21 นี้เอง...

จริงๆ ผมกะลังนั่งเล่นเกมอยู่นะครับ แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นทีวี ที่เปิดทิ้งไว้ด้วย เป็นละครเรื่องนี้เอง โดยมี สเตฟาน เล่นเป็นพระเอกสุดจน ติดดินของเรื่อง แถมเล่นแข็งยังกะอะไร แต่ก็บางทีก็เล่นดีเหลือเชื่อเหมือนกัน ทำเอาเรางงว่า มันตั้งใจเล่นไหมเนี่ย ถ้ามันตั้งใจเล่นต้องดีสุดๆ แหงมๆ...

ส่วนนางเอกก็ น้องแพนเค้ก เขมนิจ เล่นเป็น สาวสวยสุดไฮโซ แต่กลับชอบกลิ่นโคลนสาบควายซ่ะงั้น เรื่องก็พอเดาๆ ได้ก็คือความรักระหว่างพระเอก-นางเอก ที่ต่างกันราวฟ้ากะเหว แถมต้องมีมารมาผจญก็คือ ว่าที่แม่ยายที่คอยกีดกันทุกวิถีทาง ก็ต้องผจญอุปสรรคนานกว่าความรักจะสมหวังได้ รวมทั้งยังมีแนว คอมเมดี้ ระหว่างคู่พระ-นางอื่นๆ มารวมแจม ให้เรื่องไม่น่าเบื่อเกินไป ก็นับว่าเป็นละครแนว คอมเมดี้ ที่ดูเล่นได้สนุกดีเหมือนกัน...

ที่ผมดูน่ะ ดูน้องแพนเค้กนะครับ ไม่ใช่สเตฟานหรอก น้องแพนเค้กเนี่ย หน้าตาดูตลกดี หน้ากลมอย่างกะลูกชิ้น ตาก็โต แก้มป่อง ดูประหลาดๆ ชอบกล แต่บทในละครเรื่องนี้ เล่นเป็นสาวน่ารัก ต๊องๆ เหมาะกันดี บางมุมได้เห็นว่า โอ้โห...แพนเค้กน่ารักชะมัด แต่บางมุมก็ดูธรรมดาๆ เกินไปจริงๆ อย่างตอนปล่อยผมธรรมชาติ เปิดแก้มนิดๆ ดูน่ารักเป็นบ้า แต่ตอนรวบผมนี่ ดูรู้เลยว่า หน้ากลมจริงๆ...

สงสัยว่า ทุก ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เนี่ย คงต้องติดตามดู น้องแพนเค้กซ่ะแล้ว อิอิ ...

Saturday, April 21, 2007

เพลง ไม่อยากให้เธอต้องจากไป - Otto

มาถึงเพลงที่ฟังสบายๆ ไม่ร้อนเหมือนเพลงที่แล้วกันบ้างกับเพลงนี้ กับเนื้อหาที่แตกต่างกันเล็กน้อย อย่างว่าแหละครับ หน้าร้อนๆ ฟังเพลงร้อนๆ ไปก็จะทำให้ใจมันร้อน ตัวก็ร้อนขึ้น หันมาฟังเพลงสบายๆ ทำนองเรื่อยๆ นั่งตากแอร์ จิบชา เย็นๆ ดีกว่าเนอะ...

ชื่อเพลงก็บอกอยู่แล้วว่า "ไม่อยากให้เธอต้องจากไป" อาจตรงใจหลายๆ คนที่มีโอกาสเจอใครสักคนที่คิดว่าใช่ แค่เพียงครั้งเดียว แต่ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะมีโอกาสได้เจออีกไหม เอาเป็นว่า ถ้าขอเจอได้ ขอเจอเดี๊ยวนี้เลยแล้วกัน อิอิ...

บางทีคำว่า พรหมลิขิตน่ะ ก็พาให้พบเจอใครบางคนสักพักนึง สักช่วงนึง รึแค่วันเดียว แต่บางทีพอรู้ตัวว่าใช่มันก็สายเกินไปแล้ว ต้องจากกันแล้วว่างั้น...เพราะฉะนั้น บางทีฟ้าอาจสร้างโอกาสให้เราเจอคนที่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ครั้งต่อไปอยู่ที่ตัวคุณนะครับ ว่าจะสร้างพรหมลิขิตให้ตัวเอง หรือสร้างโอกาสให้ตัวคุณเองได้ไหม...^^

ศิลปิน : Otto
เพลง : ไม่อยากให้เธอต้องจากไป

ฉันก็ไม่รู้ว่าตอนไหน ไม่รู้เมื่อไหร่
มีใครดลใจให้เธอนั้นเข้ามา
แค่ได้พบเจอ แค่ได้จ้องตา ก็พอจะรู้ว่า
ให้ฉันคนนี้เกิดมาเพื่อรักใคร

บังเอิญยังไงฉันไม่รู้ ที่รู้คือใจสั่น
เวลาเจอกันมันหวั่นไหวข้างใน
ไม่อยากละเธอ ออกจากสายตา อยากมองตลอดไป
ฉันไม่อยากให้เป็นเพียงฝันเลย

*ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เจอ เธออีกสักที เป็นวันพรุ่งนี้จะได้ไหม
โปรดเถอะฟ้า เมตตาช่วยฉันที
อยากเจออีกซักที ไม่อยากให้เธอต้องจากไป
นา นา ฮู้ ฮู ฮู่ ฮู้ ฮู ไม่อยากให้เธอต้องจากไป...

ให้ฉันได้พบเจออีกครั้ง ให้ฉันได้บอก
ฟังความในใจที่เก็บไว้ข้างใน
สิ่งที่ฉันมี ก็คือรักจริง อยากจะให้เธอไว้
ฉันไม่อยากให้เป็นเพียงฝันเลย

ซ้ำ *,*


























Friday, April 20, 2007

เศรษฐศาสตร์กับเกม...

วันนี้ก็จะลองมาพูดถึงหัวข้อที่ผมกะลังให้ความสนใจกับการค้าขายในเกมกันบ้าง แต่มันไม่ได้ไร้สาระหรอกนะครับ มันกลับได้ใช้ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ที่ได้เรียนมาเหมือนกันนะ จริงๆ มันอยู่ที่มุมมองของเรานะครับ ว่าเราจะมองมันให้เกิดประโยชน์ได้ยังไง...

เรื่องของเรื่องก็คือ ผมทำสิ่งของชิ้นนึงขึ้นมาขาย สมมติว่ามีต้นทุนที่ถูกที่สุด เท่ากับ 10080 และมีต้นทุนที่แพงที่สุดเท่ากับ 17280 นะครับ และผมจะขายในช่วง 17000 - 17500 แต่จริงๆ แล้วเท่าที่ผมคำนวณจากประสบการณ์ที่ขายมาเนี่ย น่าจะได้กำไรประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ได้ เพราะลงทุนประมาณ 2 ล้าน ได้ 3 ล้าน ก็ได้กำไรมา 1 ล้านก็นับว่าคุ้มค่าทีเดียว....

แต่ผมต้องเสียเวลาผลิตประมาณ 30-40 นาทีต่อของประมาณ 180 ชิ้น ซึ่งมีต้นทุน 2 ล้าน แต่สามารถทำให้ผมได้เงินจากการขาย 3 ล้าน ซึ่งได้กำไร 1 ล้านนั่นเอง อีกทั้งของชิ้นนี้มีการผลิตที่ไม่จำกัด แล้วแต่ผมจะทำได้ ไม่ได้เป็นของแพงหายากว่างั้น

ซึ่งผมก็ต้องมาคิดเรื่อง Demand-Supply ของสินค้าแล้วก็ผมว่า เรื่อง ซัพพลายน่ะ ค่อนข้างไม่จำกัดแล้วแต่ผมจะตีได้เท่าไหร่ ส่วนเรื่องดีมานด์คนซื้อจะซื้อไปตี + ของให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการเล่นกับความเสี่ยงว่างั้น คนซื้อสามารถเพิ่มราคาให้กับสินค้าของตัวเองได้ จากสินค้าของผม โดยอาจให้ค่าตอบแทนสูงลิ่ว รึ เจ๊งได้เลย

อีกอย่างผมคิดแล้วว่า จะค้าขายของนี้จะได้กำไรดี และดีมานด์ตอนแรกๆ ก็ค่อนข้างดีด้วย แบบว่าวางปุ๊บ หมดปั๊บ ในช่วงแรกๆนะ... แต่ผมไม่ชอบเสี่ยงหรอกนะ ผมชอบอะไรๆ ที่ได้แน่นอน มากกว่า...

ในตลาดน่ะ ก็ไม่ได้มีคนขายเจ้าเดียว มีอีก 3-4 เจ้าทีเดียว ถึงแม้ว่าต่างคนต่างคิด แล้วบังเอิญมาขายเหมือนกันก็ตาม แต่ก็ถือเป็นคู่แข่งกัน ผมจึงเริ่มมีปัญหา อีกทั้งไม่ได้เหมือนชีวิตจริงว่าเราสามารถจดสิทธิบัตรการค้าให้เป็นของเรา จะสามารถผูกขาดได้อีกด้วย...

ปัญหาของผมก็คือ ทำอย่างไรให้ขายของออกไวที่สุด และได้กำไรดีที่สุด?

ผมเคยได้อ่าน ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มานิดหน่อยว่า "การค้าขายในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคนั้น กำไรในระยะยาวจะเป็นศูนย์"...ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น...

ก็เพราะว่า พอมีคนอื่นเห็นว่าสินค้าชนิดนี้ทำกำไรงาม ก็จะทำตามบ้าง จนมีผู้ผลิตเข้าแข่งขันกันมากมาย โดยใช้กลยุทธ์ต่างๆ เข้ามาช่วย เช่นตัดราคาขายถูกกว่า ลดแลกแจกแถม ส่งชิงโชค ฯลฯ...ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยก็คือ น้ำชาเขียวนี่แหละ เจ้าแรกที่ผลิตชาเขียวบรรจุขวดเนี่ย คือ ยูนิฟ ใช่ไหมครับ พอชาเขียว บูม โออิชิ ก็เข้ามาบ้างกลายเป็นว่าขายดีกว่าอีก ด้วยกลยุทธฺแจกฟ้าผ่า 30 ล้าน คิดดูแล้วกันว่า ชาเขียวขวด 20 บาท แต่แจก 30 ล้านได้ เค้าจะได้กำไรจากการขายเท่าไหร่ เท่านั้นไม่พอยังมีเจ้าอื่นเข้ามาทำอีก แล้วยังงี้ผู้ผลิต ซัพพลายน่ะ มีเยอะ แต่ในขณะที่คนกิน ดีมานด์มีจำกัด และขยายตัวช้ากว่า กำไรจะไม่เป็น 0 ได้ไงครับ ในระยะยาวนะ....

กลับมาที่เกมบ้าง เนื่องจากคนขายของมีเยอะขึ้น จึงกลยุทธ์ง่ายๆ แบบไม่ต้องคิดเข้ามานั่นก็คือ "การตัดราคา" เป็นกลยุทธ์ที่ทำง่าย และให้ผลดีมากๆ ในระยะนึง แต่มันเข้าเนื้อตัวเองนี่สิ แต่จะเอายังไงล่ะครับ ในเมื่อ ซัพพลาย แทบไม่จำกัด ก็ตัดราคาไปเรื่อยๆ สิ ในขณะที่ดีมานด์ จะเริ่มน้อยลง จนถึงอิ่มตัว

อย่าลืมครับว่ามันไม่ใช่สินค้าที่มีดีมานด์สูงลิ่ว แต่ซัพพลาย ต่ำ เหมือนน้ำมันนะครับ แล้วยังงี้จะแก้ไขปัญหาอย่างไร ยังงี้แนวโน้มก็จะขายถูกลงเรื่อยๆ จาก 17500 17000 16500 จนลดเหลือ เท่าทุนเราควรทำอย่างไร...

สิ่งที่ผมทำก็คือ "การฮั้วราคา" แต่ในชีวิตจริง ผิดกฎหมายนะครับ แต่ผมไม่ได้ไปบอกเค้าหรอกนะว่า เฮ้ยย ขายเท่าๆ กันได้ไหม หรือ จะตัดราคาทำไม ผมใช้วิธีการ "ส่งสัญญาณการฮั้วราคา" ให้อีกฝ่ายรับรู้ โดยไม่ต้องเจรจาอันนี้ผมได้อ่านกลยุทธ์นี้มาจากหนังสือ "ทฤษฎีเกม" นะครับ กลยุทธ์ที่ว่าทำอย่างนี้...

อย่างแรกคือ ต้องไม่ตัดราคากันเอง ตอนแรกจะต้องพยายามขายให้มีราคาเท่ากันก่อน ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าอีกฝ่ายฉลาดเค้าจะรู้เองว่า เราอยากให้ขายในราคานี้ เค้าก็จะไม่ตัดราคาเรา และที่สำคัญจะไม่ลดราคาไปกว่านี้ด้วย เท่านี้ราคาตลาดก็จะค่อนข้างคงที่ วิธีต่อมาคือ เพิ่มราคาขึ้นเรื่อยๆ ทีล่ะนิด ให้อีกฝ่ายรู้ตัว และฮั้วขึ้นราคาตามไปเรื่อยจนเหมือนผูกขาดทางการค้าไว้ วิธีนี้จะสามารถใช้ได้ดีหากเป็น เจ้าของสินค้ารายใหญ่ทั้งคู่ แน่นอนครับ ผมเลือกคนที่ขายของเยอะแบบผมนั่นเอง ซึ่งผมก็ประสบความสำเร็จในกาน "ผยุงราคา" ไม่ให้ตกได้

แต่วิธีนี้ก็ใช้ไม่ได้ผลกับทุกคนนะครับ บางคนที่ไม่ยอมเป็นพันธมิตรกับเรา ไม่สนใจโลก หรือ ไม่รู้เรื่อง จะตัดราคาให้ขายให้ออกลูกเดียว ยังงี้ก็มีปัญหาอีก แต่โชคยังดีที่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกรายย่อย และปะมาณผ่านมาขายเท่านั้นเอง...

แต่หากคิดกลับกันหากเราเป็นผู้ค้ารายย่อย ขายสินค้าแบบเดียวกัน เหมือนกัน ไม่มีเรื่องแบรนด์เข้ามาเกี่ยวข้อง จะทำไงให้ขายออกล่ะ ... ผมก็ยังเสนอ "การตัดราคา" ครับ เพราะเป้าหมายเราคือ ขายของให้ออกไวที่สุด ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องปริมาณของคนอื่นเลย ขายถูกเข้าว่า ยอมได้กำไรน้อยกว่านิดนึง อีกทั้งคงจะไม่มีเวลามาวางขายของนานๆ แน่ สู้ขายจำนวนน้อยๆ นี้ออกให้หมดจะดีกว่า ยังงี้ การตัดราคาน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในความคิดผม...

แต่การตัดราคานี้ใช้ไม่ได้ผลมากนักกับชีวิตจริงๆ นะครับ ผู้ค้ารายเล็ก ค่อนข้างเสียเปรียบอย่างหนักกับผู้ค้ารายใหญ่มากทีเดียว เพราะจะมีปัจจัยอื่นๆ มาเกี่ยวข้อง เช่น แบรนด์เนม ความสะดวกสบาย ยกตัวอย่างเช่น ร้ายโชว์ห่วย กับเทสโก้ โลตัส นี่เอง สังเกตว่าพอมีห้างยังงี้เกิดขึ้น คนแทบจะแห่ไปซื้อในห้างกันหมด แล้วร้านโชว์ห่วยจะทำยังไง...

การตัดราคาตัวเอง ยิ่งเป็นทางออกที่ไม่ดีมากๆ เนื่องจากห้างเป็นร้านค้าส่ง ในขณะที่ร้านโชว์ห่วยเป็นร้านค้าปลีก ต้นทุนมาก็ต่างกันแล้ว ธรรมดาๆ ห้างก็ขายถูกกว่า ยิ่งตัดราคาก็ยิ่งแย่ครับ อย่างนี้จะทำยังไงต่อ ผมก็คงบอกว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน จริงๆ มันเป็นปัญหาระดับชาตินะครับ เรื่องนี้ เรื่อง "ร้านค้าส่งต่างชาติ" เนี่ย

สำหรับกลยุทธ์ใดๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้ได้ดีเสมอไปนะครับ บางทีเราต้องรู้จักคิดประยุกต์ใช้มันให้เข้ากับสถานการณ์ให้ดี อีกนิดนึง...อยากจะให้คิดว่า ความรู้ที่เราร่ำเรียนมาอย่าคิดว่า จบไปแล้วค่อยไปเรียนรู้ใหม่ หรือเรียนไปก็ไม่ได้ใช้นะครับ จริงๆ แล้ว มันอยู่ที่ตัวเราว่า จะดึงมันออกมาใช้เมื่อไหร่ ยังไง หรือรู้จักใช้ให้มันเกิดประโยชน์ยังไงนะครับ...

ยังมีอีกเรื่องนึงที่ผมอยากรู้ และอยากเอามาพูดถึงคือเรื่อง "การปั่นราคาสินค้า" นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ ใครที่มีความคิดดีๆ สามารถแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ หรือถ้าผมคิดออก มีความคิดดีๆ จะเอามาเล่าให้ฟังบ้างครับ...

หน้าร้อน...!!!

นี่ก็ใกล้จะเข้าสู่วันที่จะร้อนที่สุดของรอบปีแล้วนะครับ น่าจะอยู่ในช่วงวันที่ 20-30 เมษายนนี่เอง ต้องรอดูว่ามันจะร้อนวิบัติขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ คือมันน่าจะอยู่ในช่วงวันเกิดของผมนี่เองแหละ...

แล้วซัมเมอร์นี้คุณทำอะไรบ้างล่ะ นี่ถ้าผมอยู่กรุงเทพนะ หลังเลิกงานคงต้องออกไปเดินห้างเป็นงานอดิเรกแน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำงานแล้ว อยู่แต่ในบ้าน ตากแอร์เย็นๆ มีความสุขดี...

แน่นอนว่ามันไม่มีอะไรทำก็ต้องเล่นเกมพวกออนไลน์อย่าง Granado Espada ที่ผมกะลังเล่นอยู่ รึอาจจะเป็นพวกเกมออฟไลน์ที่ได้มาจากเพื่อน Rome Total War ซึ่งตอนนี้ผมก็เริ่มขี้เกียจเล่นเพราะมันเป็นเกมสงคราม ต้องใช้ความคิดมาก เล่นแล้วเครียด ว่างั้น...

คิดถึงเกมออนไลน์เกมแรกที่เคยเล่นนั่นก็คือ Ragnarok ที่ผมเล่นกับเพื่อนๆ ตอนสมัยอยู่ปี 1 ปี 2 นู้น แถมเล่นนานซ่ะด้วยตั้ง 2-3 ปี จนเกมมันเริ่มทรุดลงไปเรื่อยๆ เลยเลิกเล่น...แต่ความสนุกปนทุกข์ของมันก็ต้องตอนแรกๆ แหละครับ เพราะทุกคนเกิดมาตัวเปล่าเปลือยกันทั้งนั้น ต้องเก็บเลเวล ต้องหาเงินกันเอง...

จะว่าไปเกมออนไลน์เนี่ย มันก็คือสังคมจำลองชีวิตจริงนะ ต้องมีการค้าขาย แลกเปลี่ยนพูดคุย ร่วมมือกัน ถึงจะอยู่รอด ประมาณว่าคุณจะเล่นเกมออนไลน์คนเดียวไม่ได้ว่างั้น...ตอนแรกๆ เกิดมาก็ต้องไปตีพอริ่งตัวสีชมพู เก็บ Jellopy อันละ 2 Zeny (หน่วยเงินในเกม)คิดดูว่าเอาไปขายเมื่อไหร่จะรวย

ในเมืองก็เริ่มจะมีคนค้าขายกัน คิดดูครับว่าพ่อค้าที่เค้ารวยๆ กันได้เนี่ย เริ่มมาจากการค้าขาย เรดโพชั่น (น้ำยาเพิ่มพลังชีวิต) โดยได้กำไรขวดล่ะ 1 Zeny ขายได้ทีละ 400 ขวด นั่งขายกันทั้งวัน ก็เป็นอะไรๆ ที่สอนเราเหมือนกันนะครับว่าเงินน่ะหายากเหมือนกัน

รวทั้งในเกมก็ยังมีทั้งคนดี และคนไม่ดี บางคนก็สร้างตัวละครมาโกงกันหน้าด้านๆ ถือว่าจับไม่ได้ แต่บางคนก็นิสัยดีน่าคบ จนเป็นเพื่อนกันจริงๆ ก็มี...ยังนึกถึงตอนขายวาปไปที่ต่างๆ ในโลกแร็คนารอคครั้งล่ะ 1000-2000 ก็ได้กำไรไม่น้อย แต่มีต้นทุนประมาณ 400 เซนนี แต่ก็พอจะทำกำไรให้กับอโคไลท์ (อาชีพนักบวช สามารถใช้เวทมนตร์รักษาชีวิตได้)ใครไม่เคยเล่นก็คงจะไม่รู้หรอกครับว่าอาชีพนี้มันรันทดขนาดไหน ไปไหนมาไหน ก็มีคนมาขอฮีลแถมไม่ขอดีๆ ด้วย ชอบพูดว่า "ฮีลเด่ะ เด๊วปั๊ดเหนี่ยวเลย" เหมือนทาสยังไงไม่รู้ แต่พอเปลี่ยนอาชีพเป็น บาทหลวงแล้วสิ พูดจาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย "ฮีลหน่อยครับ นะครับ" โห อะไรจะขนาดนั้น...

ก็ยังมีอีกหลายๆ อย่างที่เป็นความทรงจำทั้งที่ดี และไม่ดี รวมทั้งยังใช้เวลาให้หมดไปกับความสนุกได้อย่างดี...หน้าร้อนหลายๆ คนอาจไปเที่นวทะเล พักร้อน นอนเล่น รึทำงานตัวเป็นเกลียว แต่สำหรับป๋ม คงเล่นเกมล่ะครับ อิอิ...

Thursday, April 19, 2007

เพลง ไม่กลัวใครหน้าไหน --- Instinct

ไม่รู้เป็นไง พอได้ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกฮึดขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สิ กับเพลง "ไม่กลัวใครหน้าไหน" ของวง Instinct ที่ชื่อใหม่ แต่จริงๆ แล้วก็คือนักร้องนำวง Girls เก่านี้เอง เพราะฉะนั้นเรื่องน้ำเสียงนั้นหายห่วงได้เลย...
เนื้อเพลงก็ประมาณว่าถ้ารักแล้วกลัว ป๊อด!!! จะรักไปทำไม ยังงี้ต้องสู้ต้องเสี่ยงดูสักตั้งล่ะ แถมยังมีทิ้งท้ายไว้อีกว่า ไม่กลัวใครหน้าไหน เพราะใจไม่มีหวั่นไหว สู้ตายว่างั้น แต่อะไรจะมั่นใจขนาดนั้น แต่หนทางมันยาวไกล แถมมีอุปสรรคอีก เอาล่ะสู้ต่อไป ไอ้มดแดง... -*-
เอาล่ะครับตื้อเท่านั้นที่ครองโลกนะ จำเอาไว้ อิอิ...
ปล. จริงๆ ผมก็กลัวนะครับ ไม่มั่นใจขนาดนั้นหรอกว่าไม่กลัวใครหน้าไหน นี่ก็แช่งอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ใครจีบตาย!!! อิอิ
ศิลปิน : Instinct
เพลง : ไม่กลัวใครหน้าไหน
จะต้องลำบากสักแค่ไหน จะขอไปด้วยใจที่มี
เมื่อเธอนั้นอยู่ที่ปลายฟ้า และเธอก็ไม่ลงมาซักที
จะปล่อยให้ใครต่อใครนำ ให้มากัน ให้มาขวาง มันคงไม่ดีเท่าไหร่
ยิ่งมัวแต่กลัวเธอยิ่งไปไกลทุกที เป็นอย่างนี้ เห็นทีต้องขอวัดใจ จะฝ่ามันไปให้ถึง ...
* และมันจะเจ็บแค่ไหน จะสู้ต่อไปให้เจอ
แม้รู้ทั้งรู้เธออยู่ไกล รักแล้วให้ทำไง ไม่อยากมีเธอไว้แค่เพ้อ
จะไม่กลัวใครหน้าไหน เมื่อใจมันมีแต่เธอ
ลงเอยจะช้ำไม่หวั่นไหว จะขอจำเอาไว้ เพราะฉันนั้นขอให้ได้รักเธอ...
ก็อยากจะเสี่ยงดูสักครั้ง ฉันเดิมพันด้วยชีวิตนี้
จะตายเพราะรักขอให้รู้ไป ไม่ลองก็คงไม่รู้ซักที
ให้ใครต่อใครมาคอยนำ มาคอยกัน มาคอยขวาง มันคงไม่ดีเท่าไหร่
ต้องลุยต่อไปซักที ...
(ซ้ำ *)
จะเจ็บเพราะรักสักเท่าไหร่ ก็จะไปอย่างที่หวัง ฉันไม่อาจรั้งหัวใจ จะฝ่ามันไปให้ถึง...
(ซ้ำ *)
ก็อยากจะรักดูสักครั้ง ก็จะไปดั่งที่หวัง ขอให้ไปตามหัวใจ
ก็อยากจะรักดูสักครั้ง แม้ไม่เป็นอย่างที่หวัง ฉันก็จะไม่เสียใจ
ขอให้เธอรักดูสักครั้ง ก็จะไปอย่างที่หวัง แม้มันจะไกลเท่าไหร่
ก็อยากจะรักดูสักครั้ง...

























Tuesday, April 10, 2007

Happy Thai New Year...

ช่วงนี้ก็ใกล้วันสงกรานต์เข้ามาทุกทีแล้ว ก็คงจะมีคนกลับบ้านกันเยอะมากขึ้นแล้ว อย่างเพื่อนผมหลายๆ คนก็กลับบ้านช่วงวันหยุด วึ่งต่างคนก็ต่างหยุดน้อยๆ กันอยู่แล้ว ยังไงก็ขอให้กลับบ้านปลอดภัยกันทุกคนนะครับ...

ช่วงนี้ที่บ้านผมก็เริ่มเล่นกันแล้วโดยเฉพาะพวกเด็กๆ (เวร)เริ่มเอาปืนฉีดน้ำ เอาน้ำสาดกันแล้วเชียว ดีว่าผมบอกว่าไม่เล่นไม่งั้นก็คงเปียกแน่ๆ อยากบอกมันเหลือเกินว่า ไอ่หนูเอ้ยย อีกไม่กี่วันก็จะ 13 แล้ว นี่มันวันที่ 10 อยู่เลย จะรีบเล่นไปหาพระบิดาหนูเหรอ ระวังจะไม่ทันโตนะ...น่ารำคาญจริงๆ ครับ ใครว่าเด็กๆ น่ารักผมเถียงตายเลยว่ามันน่าถีบจริงๆ

เอาล่ะครับ หากได้กลับบ้านกันก็อย่าลืมไปรดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ สำนึกในพระคุณท่าน แล้วก็เล่นน้ำกันอย่างสนุกพอควร พวกเครื่องดื่มก็ลดๆ น่ะครับ ไม่อยากให้เทศกาล จบ ลงด้วยงานศพ...

ขอให้มีความสุขครับ... Happy Thai New Year...

Sunday, April 8, 2007

ความเท่าเทียมกันไม่มีในโลก...

เมื่อวานนี้ผมได้ดูข่าวเกี่ยวกับการรณรงค์เมาไม่ขับในช่วงสงกรานต์นี้ และก็มีการยื่นให้มีกฎหมายที่จะเพิ่มโทษหากมีกรณีเมาแล้วขับ หรือเกิดอุบัติเหตุ ขาดสติเนื่องจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮออล์ อีกทั้งยังมีการทำการสำรวจเล็กน้อยว่า ควรจะมีกฎหมายควบคุมการใช้มือถือในระหว่างการขับรถหรือไม่? ซึ่งก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่จะเห็นด้วยว่า ไม่ควรให้มีใช้โทรศัพท์ในระหว่างขับรถ แต่อาจจะใช้อุปกรณ์เสริมพวกแฮนด์ฟรีได้...

แต่ข่าวที่ผมกำลังอ่านอยู่ระหว่างดูโทรทัศน์ก็คือ "ข่าวฆ่าพี่ชาย ข่มขืนน้องสาว" ของพวกเดนคน 7 คน ผมเลยคิดว่า ทำไม? ทีเรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิงที่มันเกิดขึ้นทุกวันเนี่ย ไม่กฎหมายคุ้มครอง และเพิ่มบทลงโทษให้มันรุนแรงขึ้น ไม่มีการสำรวจความคิดประชาชนว่า พวกเขาอยากให้มีการจริงจังกับเรื่องนี้บ้างไหม แต่กลับไปทำเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องก่อนเสมอ...

ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน ย้ำ ทุกวัน มีข่าวข่มขืนอย่างน้อย 1 ข่าวเสมอ และคุณไม่คิดบ้างเหรอว่า ใน 1 วันจะมีผู้หญิงที่โดน ฆ่า ข่มขืน เท่าไหร่...

จริงๆ พูดไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่ที่สังเกตใด้อย่างนึง คนที่ทำเรื่องพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน อายุ 13-21 ปีทั้งนั้น ซึ่งเมื่อทำผิด ฆ่าคน ข่มขืน แล้วพวกนี้ได้ไปสถานกักกันเด็กและเยาวชน บ้านเมตตา เพื่อให้กลับตัวกลับใจได้ลดโทษ...

อาชญากรส่วนใหญ่ของเรื่องนี้เป็นเยาวชน ซึ่งบทลงโทษก็ดูจะเบาบางเหลือเกิน ไม่สาสมกับสิ่งที่มันทำเลยสักนิด และไม่มีคนมาสนใจที่จะมาปรับปรุงเพิ่มโทษให้มันเกรงกลัวกันเลยสักคน...

เพื่อนผมคนนึงเคยพูดในทำนองว่า หากให้มีเรื่องกับเด็กๆ พวกนี้มันไม่เอาหรอก ก็คิดดู หากฆ่ามันตาย มันติดคุก เผลอๆ โดนประหาร หากโดนพวกมันฆ่า มันไปบ้านเมตตา เด๊วก็โดนปล่อยตัว ถามว่ามันคุ้มเหรอครับ...

ผมจึงมีคำถามว่า "ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน?" คนทำผิดพวกนี้มีโอกาสได้ทำคุณไถ่โทษ ได้กลับตัวกลับใจ คิดไหมครับว่า พวกที่มันฆ่า ข่มขืนเนี่ย เค้ามีโอกาสใด้กลับตัว มีโอกาสได้แก้ตัว ไม่หลงไปให้มันฆ่า ข่มขืนบ้างไหม? แล้วพ่อแม่เหยื่อจะมีโอกาสได้ลูกเค้ากลับมาไหม...มันจะ Rewind กลับมาได้ไหมล่ะ

มันกลับมาไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นพวกนี้มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้อง รวมทั้งสังคมที่จะปกป้องมันเหรอ คนเราน่ะ เมื่อทำสิ่งใดๆ ลงไปแล้ว ก็ต้องยอมรับมัน เหมือนในพระพุทธศาสนา ที่จะไม่มีการชำระบาป ล้างบาป เมื่อทำผิดยังไงก็ต้องรับโทษ ตามผลกรรมของมันแน่นอน...

คิดบ้างไหมครับว่าคนเราได้สิทธิการเป็นมนุษย์ตามกฎหมายมาตั้งแต่เกิดคลอดมาเป็นทารกแล้ว แต่สิทธิการกระทำผิดอย่างนี้มันกลับไม่เท่าเทียมกัน เยาวชนกลับได้แก้ตัว ผู้ใหญ่กลับติดคุก ผมถามว่าเราเป็นมนุษย์เหมือนกันตามกฎหมายไหม เราเท่าเทียมกันจริงหรือ ผมบอกได้เลยว่ามันไม่เท่าเทียมกัน...

กฎหมายมีไว้ผดุงความยุติธรรม ผมเชื่อนะ มีไว้ตัดสินความผิดชอบชั่วดี ให้ความยุติธรรมทั้งผ่ายถูกและฝ่ายผิด แต่มัน "ไม่สมควร" ที่จะนำกฎหมายมาใช้กับคนพวกนี้ เพราะพวกมันไม่มีค่าเลยสักนิดที่ต้องให้ความยุติธรรม...

First Sight

ผมไม่เคยคิดเลยซักนิดว่า วันนึงผมจะชอบเธอขึ้นมาได้...

ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมเห็นหน้าเธอครั้งแรกเมื่อไหร่ ตอนไหน แต่รู้ว่าตอนเห็นหน้าเธอครั้งแรกผมรู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยอย่างแรง เหมือนกับว่าผู้หญิงหน้าตาแบบนี้จะดูไม่ดีในสายตาของผมเลย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว เธอก็ดูดีที่สุดในหมู่เพื่อนๆ ผู้หญิงของผมเลยก็ตาม

หน้าตาเธอดูแรงๆ ยังไงชอบกล ผมคิดตอนนั้น และก็คิดว่าไม่ยุ่งด้วยเป็นดีที่สุดล่ะ ออกห่างๆ ไว้ดีกว่า แต่ผมก็จะเจอเธอบ้างบางโอกาสเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ผมจะไม่ได้มองเธอเลยก็ตามที มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอนั่งอยู่ด้านหลังผมเยื้องๆ ผมไปนิดนึง แต่ก็สามารถพูดคุยกันได้ เธอก็มักจะคุยกับเพื่อนๆ ผู้หญิงของเธอไป ด้วยความสนุกสนาน ในขณะที่ผมนั่งรอเวลาอย่างน่าเบื่อ ว่าเมื่อไหร่ๆ มันจะเสร็จสักที ตอนนั้นเป็นครั้งแรกล่ะมั้ง ที่เธอชวนผมคุย และผมก็ตอบไปอย่างเฝื่อนๆ เหมือนไม่อยากตอบ

ชีวิตผมก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผมกับเธอไม่ค่อยได้เจอกันหรอกนะ แต่ด้วยสภาวะการณ์มันบังคับทำให้ต้องเจอต้องคุยกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่ผมน่ะ ไม่ค่อยชอบหน้าตาเธอเท่าไหร่ หน้าตาบ๊องๆ ทำตัวต๊องๆ เหมือนเสแสร้งยังไงไม่รู้ เรียกว่าช่วงแรกๆ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างเงียบมากๆ ทำให้ไม่มีใครคุยด้วยเลย จริงๆ ผมก็อยากรู้จักเพื่อนๆ ทุกคนล่ะนะ

เหล่าเพื่อนๆ ที่นั่งใกล้ๆผม เหมือนถูกบังคับจับให้ทำงานด้วยกัน แต่เมื่อทำงานสนิทสนมกันไปนานๆ มันก็ดีนะ ผมก็เริ่มได้คุย ได้เล่นๆ มากขึ้น แต่ก็อย่างว่าแหละคนเรามันก็ต้องมีเคืองกันบ้างแหละ โดยเฉพาะไอ่คนที่นั่งข้างๆ ผมประจำเนี่ย มันชอบกวนอวัยวะของผมจริงๆ ให้ตายสิ

ด้วยความเบื่อผมก็หันไปมองดูอะไรข้างหลังบ้าง และแน่นอน ผมก็เห็นเธอกับกลุ่มเพื่อนๆ ผู้หญิงของเธอกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ไม่ค่อยได้ทำงานเลย ส่วนใหญ่จะจับกลุ่มเม้าส์กันมากกว่า เอ่อ อย่างว่านะ มันกลุ่มผู้หญิง และผมเองก็อยู่กลุ่มผู้หญิงมากเยอะ ก็เข้าใจล่ะ ว่ามันก็ต้องมีคุยกันเป็นส่วนใหญ่ แต่คนที่เด่นที่สุดก็เป็นเธอ ตอนนั้นเธอผมสั้น หน้าตาดูบ้านๆ มากๆ เธอเอาแต่คุย และก็เล่นๆ ตลอดเลยจริงๆ

ผมมักจะกลับห้องมาเจอเพื่อนๆ กลุ่มผู้ชายเสมอ แต่รู้ไหมครับว่ามันน่าเบื่อมากๆ ทั้งกลุ่มเพื่อนๆ ที่เห็นแก่ตัว คนนู้นจะทำยังงี้ ทำอะไรๆ ก็ไม่เคยเกรงใจใคร แต่ผมก็ต้องทน บางทีมันก็สนุกสนานนะ แต่บางทีมันก็เซ็ง ยังดีที่ตอนนั้นผมมีกิจกรรมให้ทำเยอะ มีกีฬาให้เล่น เลยลืมเรื่องเซ็งๆ ในชีวิตไปทั้งหมดเลย

เวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม ระหว่างที่ผมขับรถกำลังจะออกไปทำเรียน อยู่ดีๆ ผมก็เจอเธอ ซึ่งเจอไม่บ่อยนัก เธอขับรถสกู้ตเตอร์สีเหลืองผ่านหน้าผมไป ตอนนั้นผมก็ยอมรับว่าเธอดูดีขึ้นมา ผมเธอยาวสลวยแล้ว และก็แต่งตัวไม่บ้านๆ แล้ว ตอนนั้นผมแอบคิดเหมือนกันว่า เธอดูสวยขึ้นนะ มีคนเคยบอกผมว่า ตอนเข้ามาแรกๆ น่ะ จะผู้หญิงจะดูบ้านๆ กันทุกคน แต่พอนานๆ เข้าต่างคนต่างจะเริ่มฉายแววเด่น แววสวยกันออกมา ตอนนั้นล่ะ ก็จะมีคนเริ่มมาจีบล่ะ เพราะฉะนั้น อย่าช้า ต้องรีบเล็งๆ แล้วก็จีบตั้งแต่ตอนบ้านๆ นี่ล่ะ ผมนี่เห็นด้วยเลย มันจริงมากๆ เลย คนที่ไม่สวย พอนานไปก็เริ่มดูดีได้ มันจริงนะ

เป็นความจริงอีกข้อนึงว่าในตอนนั้นผมไม่ได้สนใจเธอเลย ผมกับเธอเจอกันบ้างในระหว่างเรียน และที่สำคัญในวิชาๆ หนึ่งเรานั่งติดกัน แต่เชื่อไหม ผมไม่รู้สึกตัวเลยว่า เราอยู่ด้วยกัน เหมือนเธอไม่มีตัวตน และผมก็เป็นเช่นเดิม ไม่พูดกะใคร ไม่คุย แต่เธอน่ะ (ตอนนั้นน่ารักแล้ว) ก็มักจะชวนคุยเป็นมารยาท และก็จะถามผมเสมอๆ เพราะผมเก่งในวิชานั้นผมก็จะตอบๆ ไป ตอนนั้นผมแอบรู้สึกนิดนึงว่า เฮ้ยย เธอเองก็น่ารักดีนะ ตอนนั้นหน้าเธอใสขึ้น ผมยาว นั่งใกล้ๆ ผมด้วย ผมก็อดที่จะหันไปมองบ้างไม่ได้เหมือนกัน เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เธอน่ารักจริงๆ

แต่ผมก็ปล่อยเวลาไม่ทำอะไรต่อไป วันเวลามันเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนตอนนั้นผมมีความทรงจำเกี่ยวกับเธอน้อยมากๆ เลย ผมก็เรียนๆ เล่นๆ ไปอย่างเคย แต่ใครจะคิดล่ะว่า วันนึงผมจะรู้สึกชอบเธอขึ้นมาได้

Friday, April 6, 2007

เพลง รางวัล --- Crescendo

คุณได้เคยเจอใครซักคนในชีวิตนี้ และเคยบอกกับตัวเองบ้างไหมว่า "ผู้หญิงคนนี้แหละ ที่ผมจะรักไปตราบจนชั่วชีวิตได้" หรือ แม้แต่เมื่อได้เห็นหน้าของเธอแล้วก็อดที่จะบอกกับตัวเองไม่ได้ว่า "เมื่อผมได้เห็นหน้าของเธอครั้งแรก ผมก็สัญญากับตัวเองว่า จะรักเธอไปจนชั่วชีวิต" อันนี้ออกจะน้ำเน่าและเหมือนกับคำพูดของโฆษณาไทยประกันชีวิตไปนิดนึงนะ...
แต่คงไม่น้ำเน่าหากเทียบกับเพลงนี้กับเพลงประกอบโฆษณาของธนาคารกรุงไทย ซึ่งหลายๆ คนคงเคยดูและรู้สึกประทับใจกับโฆษณาชิ้นนี้บ้างแน่ๆ กับบทบาทของพระเอกที่อยากได้กล้องวิดีโอ ไปเก็บภาพของนางเอก (แต่ดันบ่จี๊)แต่กรุงไทยมีทางเลือกให้คุณ อะไรประมาณนั้น...
เอาล่ะพูดถึงเพลงกันบ้าง เพลงนี้ร้องโดยวง Crescendo ซึ่งได้ข่าวมาว่าจะออกอัลบั้มใหม่มาเร็วๆ นี้ เวลาได้ฟังเพลงนี้น่ะ ก็เหมือนว่าอยากจะแบ่งเบาภาระของคนที่เรารัก ให้ผ่อนคลายและหายเหนื่อย ให้เธอได้เจอแต่สิ่งที่ดีๆ และมีรอยยิ้มอยู่เสมอ เอาล่ะมันคุ้มค่านะที่แลกกับความเหนื่อยกับรอยยิ้มของคนที่เรารักน่ะ แต่อะไรมันจะสู้ชีวิตขนาดนั้น...อิ อิ
เอาเป็นว่าเพลงนี้เหมาะสำหรับฟังแล้ว รู้สึกฮึดอยากจะทำให้คนที่เรารักมีความสุขก็แล้วกัน...
ศิลปิน : Crescendo
เพลง : รางวัล (เพลงประกอบโฆษณาธนาคารกรุงไทย)
ยกเอามือของเธอ แล้วมาวางลงใส่มือฉัน
เดือดร้อนกังวลวุ่นวายเรื่องใด ในจิตใจนั้น ขอรับมันไว้กับฉันเอง
หากมีฝันใดๆ ที่ยังค้างยังคาหัวใจ จะไปช่วยซับมันต่อ
เธอน่ะเหนื่อยนัก ก็จงได้หยุดพักผ่อนคลาย
* จากวันนี้จะขอทำทุกอย่าง ให้เป็นรางวัลชีวิตเธอ
ตลอดไปจากนี้ ทุกวัน ฉันจะทำให้เธอ...

ทุกๆ ลมหายใจ ทุกสูดของเรี่ยวแรง
อยากจะย้ำว่าฉันจะใช้ทำเพื่อเธอ
ให้ทุกวันของเธอ มีรักจริงใจจากฉัน
จะไม่ให้เธอผิดหวัง ซักครั้ง...
(ซ้ำ *,*)

























Thursday, April 5, 2007

ไดอารี่น้องหมู ตอน รักน้องคอลลีนไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ไดอารี่จากเวปพันทิพครับ เท่าที่ผมเคยอ่าน จะมีไดอารี่น้องหมู (เวนย์ รูนีย์) ไดอารี่โด้จิ๋ว หล่อเลือกได้ (คริสเตียอาโน่ โรนัลโด้)และก็อื่นๆ อีกซึ่งจะเป็นของแมนยูหมดครับ...

อ่านไปก็ฮาดีครับเอาไปอ่านแก้เครียดนะ...อันนี้เป็นตอนจบเกมแชมเปี้ยนลีกระหว่าง โรม่า กับ แมนยู วันที่ 4 เมษานี่เอง ครับ

ปล. ต้องดูบอลเป็นนิดนึงนะครับ ถึงจะขำโคตร...

นี่ลิ้งค์ครับ ---> http://www.pantip.com/cafe/supachalasai/topic/S5293004/S5293004.html

ถ้าคุณมี Death Note!!!

หลายวันก่อนผมได้พูดถึงเรื่องเดธโน้ตกับในหมู่เพื่อนๆ ผมเนื่องจากผมยังไม่ได้ดูเดธโน้ต ที่เป็นหนัง ภาค 2 เลยก็ว่าจะโหลดมาดู เลยถามเพื่อนก่อนว่าเรื่องราวจะเป็นไง ก็เลยได้ข้อสรุปคร่าวๆ ว่า...

L ตาย ... อันนี้ไม่แปลกครับในหนังสือก็เป็นยังงี้ แต่ก็ยังสงสัยว่าตายเหมือนหนังสือไหม๊

ไลท์ตาย... อันนี้ก็งงๆ เอ๊ะ มันยังไม่ตายไม่ใช่หรอ ไอ้เราก็หลงนึกว่าจะทำเป็นหนังไตรภาค รอดู Near กะ Mello ด้วย

คนไลท์ให้ลุกเอาเดธโน้ตไปให้ ตอนที่ยอมเสียสิทธิ์การครอบครองเดธโน้ต เป็นผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ใช่ผู้ชายเหมือนในหนังสือ...

อันนี้งงจริงๆ ก็เลยสรุปได้ว่าไม่เหมือนในหนังสือ ผมก็เลยคิดว่ามันไม่น่าดูแล้วล่ะ ในหนังสือมันมีมนต์ขลังมากกว่านี้ ที่สำคัญไลท์ฉลาด หน้าตาดี และเลวน้อยกว่าในหนังนิดหน่อย สรุปก็เลยไม่ดูดีกว่า...

ผมก็เลยคิดหัวข้อ "ถ้าพวกเรามี เดธโน้ต เราจะทำยังกะมัน?" ให้เพื่อนๆ ได้คิดกันบ้าง ก็ได้ข้อสรุปหลากหลายครับ เช่น เผามัน พิพากษาคนชั่ว หรือ เอาไปแค้น...แต่มันต้องมีประเด็นต่อไปอีก มันถึงจะหนุก...

ก็เลยถามต่อไปว่า "หากพวกเรามีเดธโน้ตทุกคนจะทำยังไง?" และ "หากมีคนใดคนนึงตาย แล้วคิดว่าใครจะเป็นคนทำ?" หรือ "ใครจะเป็นผู้ชนะหากมีเดธโน้ตกันหมด?" "หากมีเดธโน้ตจะฆ่าใครในกลุ่มก่อน?"...

สรุปก็คุยกันเรื่องนี้ไป 4 ชั่วโมงกว่า เท่าที่กะๆ ดู ก็สนุกดีที่เถียงๆ กันขำๆ เพราะคงไม่มีเดธโน้ตเล่มจริงมาให้ใช้หรอก แต่หากมีก็คงสนุกดีนะ...

ถ้าผมมีล่ะก็ ผมก็คงจะเอาไว้ สร้างโลกใหม่ และพิพากษาคนชั่วนั่นล่ะ เผื่อแผ่นดินมันจะสูงขึ้นบ้าง...แต่ก็คงมีคนไม่น้อยที่บอกว่า มีสิทธิ์อะไรที่ไปหาว่าคนนั้นเลว คนนั้นสมควรตาย ผมก็คงบอกว่า หากมีเดธโน้ตล่ะก็ ผมก็คือกฎหมาย คือ ผู้พิพากษาล่ะ (เริ่มเลวๆ เหมือนไลท์ล่ะ)

ผมยอมนะที่จะแลกกับคนที่ใช้เดธโน้ตจะไปได้ไปทั้ง "นรก" หรือ "สวรรค์" ตามที่มันเขียนไว้ และสุดท้ายต้องตายด้วยเดธโน้ตเหมือนกันเนี่ย เพราะคิดว่าหากเกิดมาเนี่ยพาคนลงนรกไปด้วยซัก แสน คนก็คุ้มล่ะ ที่เหลือเป็นกำไร...

เคยได้ยินไหมครับว่า "Kill One, a Murderer - Kill Million, a King - Kill all, God" ยังคงเป็นวลีที่ติดใจผมอยู่ หากคุณฆ่า 1 คนคุณจะได้ชื่อว่าเป็นฆาตกร แต่ถ้าฆ่าไม่เหลือ หรือมีสิทธิ์ที่จะให้ความตายผู้อื่นได้เนี่ย จะถูกเรียกว่าเป็นพระเจ้าเลยล่ะ ...

แต่ถ้าหากวันนึงตายไปเหมือนไลท์ล่ะ ไม่กลัวว่าจะถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรฆ่าคนหรือ ผมว่าเรื่องนี้มันแล้วแต่คนมองนะ เป็นธรรมดาที่มีคนยกย่อง ก็จะมีคนนินทา เป็นของคู่กัน ....

ในสมัยของพระนางบูเซ็กเทียน ในราชวงค์ถังของจีนเนี่ย ตอนพระนางตาย หน้าหลุมพระศพจะมีแผ่นศิลาเขียนอักษรบันทึกถึงคุณงามความดีเอาไว้ด้วย ตอนพระนางยังมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าคนเพื่อเป็นใหญ่เป็นจำนวนมาก แต่ก็สร้างคุณประโยชน์ไว้มากเช่นเดียวกัน ดังนั้นตอนพระนางสิ้นชีวิต จึงสั่งไม่ให้มีการจารึกอักษรใดๆ ไว้เลย เพื่อให้คนรุ่นหลัง ได้คิดเองว่าสิ่งที่ทำนั้นอันไหนถูก อันไหนผิด นับว่าเป็นกุศโลบายที่ดีของพระนางเลยทีเดียว

แต่ที่รู้ก็คือ เราย่อมรู้ตัวเองอยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำไปมันถูกหรือผิด หากคิดว่าถูกก็ควรทำไป แต่หากคิดว่าผิดแล้วยังฝืนทำต่อ ก็คงเปรียบเหมือนกับคนชั่วที่ไม่รู้จักสำนึกล่ะครับ ...ตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดว่าสิ่งที่เราทำน่ะ มันถูกรึผิด!!!

ขำๆ น่ะครับ อย่าซีเรียส... ^^

http://www.deathgod.org/main.php?x=inter/p1 <---อันนี้เป็นแบบทดสอบว่า "คุณเป็นใครในเดธโน้ต" นะครับ ลองทำกันดูว่า ที่แท้จริงแล้วคุณเป็นคนยังไง

http://www.deathnoteonline.com/ <---ส่วนอันนี้คือ สมุดเดธโน้ตออนไลน์ ที่เอาไว้ให้คุณเขียนชื่อคนที่คุณอยากฆ่าลงไป แต่อย่าลืมนะครับว่าคุณมีเวลา 40 วินาทีที่จะเขียนชื่อคนๆ นั้นลงไป และหากเขียนสาเหตุการตายจะมีเวลาให้อีก 6 นาที 40 วินาที ในการเขียนบรรยายลักษณะการตาย...งานนี้ใครพิมพ์ช้าระวังจะเขียนไม่ทันนะครับ อิอิ...

อากาศร้อนๆ...

พอเริ่มต้นเข้าเดือนเมษาทีไรก็รู้สึกว่าร้อนขึ้นทุกปี และก็เช่นกัน ปีนี้ก็ร้อนมากๆ ตั้งแต่ปลายๆ เดือนมีนาซ่ะแล้ว นักวิทยาศาสตร์บอกว่าช่วง 100 ปีมานี้ โลกเราอุณหภูมิสูงขึ้น 2 องศาเซลเซียสทีเดียว และทำนายว่าอีก 100 ปีข้างหน้าโลกเราจะร้อนขึ้นถึง 6 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว เลยคิดไม่ออกเลยว่าตอนนั้นเราๆ ท่านๆ จะเป็นยังไงกันบ้าง...

ผมเกิดเดือนเมษา หน้าร้อนนี้พอดี แต่กลับไม่ชอบหน้าร้อนเอาซ่ะเลย ตอนเด็กๆ ผมเป็นภูมิแพ้อากาศ ไม่ว่าจะร้อนเกิน เย็นเกิน หรือเปลี่ยนแปลงเร็ว ผมจะหายใจไม่ค่อยออก และก็ผื่นขึ้นตามตัวหากรุนแรง ช่วงนี้ออกไปข้างนอกแปปเดียวกลับมาก็เริ่มรู้สึกคันๆ ซ่ะแล้ว ไม่ได้สกปรก ไม่อาบน้ำนะครับ เพิ่งอาบเสร็จแต่งตัวออกไปเลยนี่ล่ะ กลับมาคันเลย...

นอกจากนี้ หน้าร้อนยังไม่เหมาะกับการสังสรรค์ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างแรงทีเดียว เพราะจะทำให้ตัวร้อนขึ้น ถึงตายเลยก็มี เคยมีข่าวว่ามีคนตายเนื่องจากอากาศร้อน โดยที่เขาดื่มเหล้า(คาดว่าน่าจะเป็นเหล้าขาว) มาก แถมออกไปเดินกลางทุ่งนา ท่ามกลางอากาศร้อนจัด สุดท้ายก็กลายเป็นศพที่ผิวหนังไหม้เนื่องจากแดดเผา มันน่ากลัวจริงๆ...

อากาศร้อนยังทำให้เกิกความเครียดง่าย ยิ่งผมที่ค่อนข้างจะแบกรับความเครียดได้ไม่มาก ก็เริ่มหงุดหงิดง่ายมากขึ้น เริ่มคิดอะไรไม่ค่อยออก คิดว่าคนอื่นก็คงจะเป็นเหมือนกันช่วงนี้ แต่ดีที่ผมตากแอร์แทบทั้งวันเลยพอช่วยได้บ้าง...

ทำไงได้ล่ะครับก็เพราะปัญหาโลกร้อนเนี่ยมนุษย์เราก่อขึ้นมาสะสมเอง ก็ต้องดูต่อไปว่าเราจะแก้ปัญหานี้ต่อไปยังไง อาจจะอพยพไปอยู่ดาวดวงอื่น รึอาจจะสร้างอะไรครอบเมืองจากอากาศร้อน รึอาจจะสูญพันธุ์ไปเลยก็ได้ ใครจะไปรู้เนอะ...อิอิ

Wednesday, April 4, 2007

เพลง แพ้ใกล้ชิด --- JKI

อีกเพลงหนึ่งที่เนื้อหาดีของสามหนุ่มวง JKI กับเพลงซึ้งๆ ที่เพราะไม่เบากับ "แพ้ใกล้ชิด"...
คุณคงเคยได้ยินคำว่า "รักแท้ แพ้ใกล้ชิด" มาบ้าง และเนื้อหาของเพลงนี้ก็โดนใจของคนที่ "แพ้" ความใกล้ชิด ทำให้ข่มใจที่จะรักไม่ไหว แต่เกือบทุกครั้งของเรื่องแนวๆ นี้จะจบลงด้วยความเศร้าเสมอ ก็ดันไปแอบรักเพื่อนสนิทของตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ทำได้แค่ 2 อย่างคือ แอบชอบต่อไปโดยไม่ให้รู้ตัว กับ บอกความในใจแล้วเสียเพื่อน (-*-)...
สรุปแล้วเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้ว จะต้องรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันทีเลยล่ะครับ...ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมๆ ต้องมาชอบคนใกล้ตัว แถมยังรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ก็ยังจะคิดอีก...คนเรา
ศิลปิน : JKI
เพลง : แพ้ใกล้ชิด
ทุกๆ อย่าง ก็เหมือนเก่า ที่เราพบเจอ ทักทายต่อกัน
เห็นเธออยู่ ทุกๆ วัน คอยมาหา คอยมายืนอยู่ข้างกาย
* แต่ก็ไม่รู้ทำไมๆ ตื่นเช้าขึ้นมาทีไร ต้องคิดถึง ชื่อเธอก่อนทุกครั้ง
อยู่บนรถฟังเพลงซึ้งๆ คนแรกที่ฉันคิดถึง
ต้องกลายเป็นเธอเสมอ คิดไปจนเกิน
** เริ่มจะข่มใจไม่ไหว อยากมีตัวเธอเก็บไว้มากกว่านี้ อยาก กอดเธอไว้นานๆ
อยู่ข้างๆ เธอไม่ไหว ก็กลัวตัวเองจะแพ้ความใกล้ชิดสักวัน
ใจมันคิดเกินเลยประจำ ทุกครั้งที่เธอเข้ามา ใกล้ๆ
ฉันและเธอ เพื่อนสนิท คำๆ นี้ฉันรู้ดีแก่ใจ
เธอจะโกรธ ฉันหรือไม่ ยังคงคิดกลัวใจเธออยู่เหมือนกัน
ซ้ำ (*,**) ดนตรี (**)
ถ้าหากเธอรู้ความจริงสักวัน แล้วเธอจะยังใกล้กัน ได้ไหม


























Monday, April 2, 2007

3 สิ่งที่ต้องไปดูหากไปลูฟร์...

คราวนี้ผมออกมาแนวงงเล็กน้อย กับ "3 สิ่งที่ต้องไปดูหากไปที่ลูฟร์"...ลูฟร์ที่ว่านี้ก็คือ พิพิตภัณฑ์ลูฟร์ที่ฝรั่งเศสนี่เอง ลูฟมีชื่อทางภาษาฝรั่งเศสว่า "Musee du Louvre" ...ทำไมถึงพูดถึงลูฟร์ขึ้นมาน่ะเหรอ เพราะว่าหากพูดถึงสถานที่ที่แสดงงานศิลปะยุคเรอเนอซองค์ที่ผมชื่นชอบแล้วล่ะก็ ต้องนึกถึงที่นี่ที่แรกแน่นอน อีกทั้งคิดว่า หากมีบุญได้ไปฝรั่งเศส ยังไงๆ ก็คงต้องไปที่ลูฟร์ให้ได้ล่ะ...

ลูฟร์มีห้องแสดงรวมทั้งหมดกว่า 2000 ห้อง มีห้องแสดงเฉพาะภาพ 225 ห้อง และมีภาพเขียนหรือรูปวาดประมาณ 6000 ภาพ (o_0)!!! มีงานแกะสลักหรือประติมากรรมประมาณ 2250 ชิ้น และของ 3 สิ่งที่ต้องไปชมให้ได้ คือ "ภาพโมนาลิซา รูปสลักวีนัสเดอะมิโล และวิงค์วิกเตอรี่"...

เมื่อพูดถึงภาพโมนาลิซ่า (Mona lisa) แล้วก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก หรือไม่เคยเห็นตามที่ต่างๆ แน่ๆ อีกทั้งคงรู้จักกันดีว่ามันเป็นภาพที่เขียนโดยอัจฉริยะอย่าง ลีโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo Da Vinci) อีกทั้งในปัจจุบันภาพนี้มีราคาถึง 2 หมื่นล้านบาทอีกด้วย เพราะฉะนั้น ภาพนี้จึงเป็นภาพเขียนภาพแรกที่หลายๆ คนต้องไปดูแน่ๆ...

ต่อมา รูปสลักวีนัสเดอะมิโล (Venus de Milo)บ้าง ...ชื่อ Venus นี้มาจากเทพีแห่งความงามของโรมัน เป็นชื่อที่เหมาะกับความสวยงามของรูปสลักนี้ วีนัส เดอะมิโลเป็นรูปสลักที่ประณีตงดงาม ท่วงท่าที่ยืน และร่องรอยริ้วผ้าที่สวยงามเหมือนจริง รูปสลักนี้ถูกค้นพบที่เกาะมิโลส ประเทศกรีซ เมื่อปี คศ.1820 โดยพบว่ารูปสลักนี้มีอายุถึง 2200 ปีมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแกะสลัก แต่เดาน่าจะเป็นชาวกรีกนี่เอง...


มาถึงอันสุดท้ายที่ดูจะไม่คุ้นหูกันเลยกับ วิงค์วิกเตอรี่ (Winged Victory) มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น "The Victory of Samothrace" หรือ "Nike" ซึ่งหมายถึง "เทพีแห่งชัยชนะ" ของกรีกโบราณ...ผลงานชิ้นนี้มีอายุถึง 2300 ปี แสดงถึงความละเอียดอ่อนของสรีระร่างกายที่สวยงามของมนุษย์ และในยุคกรีกโบราณนิยมตั้งรูปนี้ไว้ที่หัวเรือ รูปสลักนี้ค้นพบเมื่อ ปี คศ.1950 บนเกาะซาโมทราช โดยนักโบราณคดีต้องนำชิ้นส่วนที่แตกหักมาประกอบเป็นชิ้นอย่างทุกวันนี้ ...

ก็ครบแล้วกับ 3 สิ่งที่ต้องไปดู เอาไว้มีปัญญาไปเมื่อไหร่ จะต้องไปดูแน่ๆ อิอิ...

Her Face...

ครั้งหนึ่งและครั้งเดียวในชีวิตที่ได้มองหน้าเธอใกล้ๆ มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นมาจริงๆ หรือ? ผมได้ถามตัวเองในตอนนั้น

เธออาบน้ำเสร็จแล้ว และก็เดินมานั่งข้างๆ ผม เราสองคนนั่งใกล้กันมาก เนื่องจากกำลังตั้งวงเล่นเกมบิงโกกันอยู่ ซึ่งมีคนเล่นเยอะมากๆ ผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ เวลาที่เธอมานั่งใกล้ๆ ผม หัวเข่าของเราสองคนชนกัน ทำให้รู้สึกถึงความนิ่มของต้นขาเธอ และไออุ่นหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ

ต่อมาก็เป็นกลิ่นแชมพูจากผมที่ยังเปียกหมาดๆ ของเธอมาแตะจมูกของผม ลมแรงพอที่จะพัดเบาๆ ให้กลิ่นหอมพัดเข้าจมูกผมได้ไม่ยาก ทำให้ผมหันหน้าไปทางเธอ และเริ่มมองหน้าเธอทันที

ผมพบว่า ผมของเธอที่ทั้งตรง และสวยอยู่แล้ว หลังอาบน้ำเสร็จพริ้วไหวเล็กน้อยตามลมที่พัดมา จากนั้น ผมเริ่มสะดุดที่แก้มเธอเป็นสิ่งที่สอง ตอนนั้นผมคิดว่า แก้มเธอดูเนียน กว่าที่ผมคิดไว้มาก อาจจะเพราะว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ แก้มที่เนียน และน่าหอมนั้น ทำให้ผมคิดไปไกลเลยว่า หากได้หอมแก้มเธอตอนนี้ล่ะก็ ตายคงต้องยอมล่ะ

เธอเริ่มพูด และเริ่มบ่นกับเกมบิงโกมาขึ้น เพราะเลขในกระดาษของเธอ ไม่ค่อยได้ถูกขานมากนัก ซึ่งตอนนี้เงินพนันสูงถึง 6 บาทแล้วเชียว

ผมเริ่มมองมาที่ริมฝีปากของเธอแทน เธอเป็นคนที่เวลาพูดแล้ว ปากเธอจะออกอาการที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่นๆ ซึ่งผมเองก็ยกตัวอย่างไม่ค่อยถูกนัก เอาเป็นว่า ผมชอบริมฝีปากเธอตอนพูดแล้วกัน

ตอนนั้นผมไม่ค่อยได้สนใจเลขในกระดาษมากนักแล้ว ใครจะบิง ก็ บิงไป แต่ดูเหมือนเธอลุ้นตัวโก่งเลยทีเดียว ไม่ได้สนใจผู้ชายที่กำลังมองเธออยู่เลย ส่วนผมเองก็เหลือบมองกระดาษของผมเป็นพักๆ ด้วยความสนใจสิ่งอื่นมากกว่า

จุดเด่นจริงๆ ของเธอก็คือ ดวงตา ที่เรียวสวย และมีเสน่ห์อย่างรุนแรง ผมเชื่อว่า ผู้ชายคนไหนก็ตามเจอสายตาที่เธอมองแบบเคลิ้มๆ ล่ะก็คงไม่ทางรอดไปจากมนต์เสน่ห์ของเธอแน่ แต่ผมโชคร้ายที่ไม่เคยโดน แต่เชื่อไหม แค่ธรรมดาๆ แล้ว ผมก็แทบจะทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้วล่ะ

ผมสังเกตได้ว่าในตอนนี้ สายตาเธอออกแนวเจ้าเล่ห์ และแอบแช่งคนที่กำลังจะบิงโกเล็กๆ ประมาณว่า ถ้าใครบิงโกตอนนี้ ต้องแช่งให้บ้านไฟไหม้แน่ๆ

หลายๆ คนอาจจะคิดว่า หากผมได้อยู่ใกล้ขนาดนี้ใจผมต้องเต้นตึกตัก ไม่เป็นจังหวะแน่ๆ แต่รู้ไหมครับว่ามันกลับกัน ผมหายใจช้าลง และรู้สึกว่าหัวใจผมเต้นช้าลงมากด้วย เหมือนเวลาตอนนั้นจะหยุดเดินเลย ผมใช้สมาธิมากขึ้น ไม่เช่นนั้นคงจะไม่สังเกตสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ผมอยู่ใกล้ขนาดนี้ทำให้คิดได้ว่า เธอสวยกว่าที่เห็นจริงๆ นะ

ตอนนั้นผมได้ยินเสียงคนอื่นเบาๆ แต่กลับได้ยินเสียงเธอดังมาก รู้ไหมครับผมล่ะชอบเสียงของเธอจริงๆ มันแสดงออกถึงความจริงใจ และขี้เล่นอยู่ด้วย แต่ผมไม่ชอบเลย เวลาที่มีคนอื่นมาพูดเจ๊าะแจ๊ะเธอ

ในที่สุดก็มีคนบิงโกจนได้ เธอก็ทำท่าโวยวายและบ่นไม่พอใจกับเงินที่เสียค่ากองกลางไป 1 บาท แล้วก็พูดขึ้นว่า "ไม่เอา ไม่เล่นแล้ว เจ๊งๆ" ทำยังกับว่า เธอเสียเงินเล่นบิงโกจนหมดตัว แต่ก็อย่างว่าแหละครับ นี่ก็เป็นเสน่ห์อย่างนึงในตัวเธอ ที่คุยสนุก เข้ากับคนได้ง่าย และก็สามารถเอนเตอร์เทนต์เพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี

แต่แล้ว เวลาที่จะได้อยู่ใกล้ๆ กันก็หมดลงแล้ว และก็เป็นไปตามที่ผมคิด เธอก็ลุกเดินออกไป เปลี่ยนเรื่องคุยกับคนอื่น เหมือนลืมว่า เมื่อตะกี้ตัวเองบ่น กับการเล่นบิงโกอยู่เลย

ผมบ่นเสียดายในใจ และคิดว่า เธอน่าจะเล่นอีกซักตา สองตา เผื่อผมจะสามารถค้นพบอะไรในตัวเธอได้มากกว่านี้ก็ได้ แต่ก็ดีแล้วครับ คนเราควรพอใจกับสิ่งที่ได้มาและผมก็ดีใจมากๆ ด้วย

หลังจากเธอลุกออกไปแล้วผมแอบขอบคุณสวรรค์ที่เธอไม่ได้หันมามองผม ทำให้ผมได้เห็นหน้าเธอนานๆ แม้มันจะเป็นเวลาไม่กี่นาทีเอง แต่ผมก็มีความสุขเหลือเกิน ...

ตรงไหนที่เรียกว่าความพอดี...

โดยส่วนตัวแล้วผมมักจะคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเลย เวลาที่จะคิดอะไรๆ ก็ตาม "ตรงไหนที่เรียกว่าความพอดี" ของตัวมันเอง... บางทีอาจจะงง ว่าเอ๊ะ ความพอดีนี่มันคืออะไร...

หลายๆ คนคงเคยเรียน เคมี ตอน ม.ปลาย และคงเคยเรียนเรื่องเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีมาบ้าง เอ๊ะ แล้วมันเกี่ยวกันยังไงอีก... ในปฎิกิริยาเคมีที่สามารถย้อนกลับได้ หรือ Reversible Reaction นั้นสารตั้งต้นสามารถเปลี่ยนตัวเองไปเป็นผลิตภัณฑ์ และ ผลิตภัณฑ์เองก็สามารถกลับไปเป็นสารตั้งต้นได้ หากมีสภาวะ + ตัวเร่งที่เหมาะสม...

อย่างเช่นพวกน้ำโซดาครับ...มันก็คือกรดคาร์บอนิก H2CO3 ปฎิกิริยาคร่าวๆ มีอยู่ว่า...

H2O + CO2 <-----> H2CO3

หากเรากินโซดาตอนที่มันอยู่ทั่วๆ ไปไม่แช่เย็นล่ะก็ จะรู้สึกแสบคอ เพราะมันคือกรดคาร์บอนิค แต่พอแช่เย็นแล้วกินก็จะไม่ค่อยแสบเท่าไหร่ เหมือนดื่มน้ำเปล่า แต่ออกเปรี้ยวๆ (เปรี้ยวเพราะมันเป็นกรด)... เห็นได้ว่าในกรณีนี้อุณหภูมิเป็นตัวเปลี่ยนแปลงปฎิกิริยา หากอุณหภูมิของโซดาจากเย็นเป็นร้อนจะทำให้มันเปลี่ยนจากน้ำ กลายเป็นกรด...

โซดาที่ยังไม่เปิดฝาก็จะมี จุดสมดุล ของมันอยู่ค่าหนึ่ง คือประมาณว่ามีปริมาณ CO2 อยู่เท่าไหร่ แต่หากเปิดฝาทิ้งไว้สักครู่แล้วมากิน ก็จะพบว่า โซดามันเหมือนน้ำเลย เนื่องจาก CO2 ออกไป จุดสมดุลที่ว่ามันก็เลยเปลี่ยนไป จาก โซดา --- น้ำ เมื่อเปลี่ยนสภาวะของมัน...

เอาล่ะครับ คงงงใช่ไหม ช่างมันเถอะนะ ผมแค่จะเกริ่นเฉยๆ...คิดๆ ดูแล้วพวกปฏิกิริยาเนี่ย ในสภาวะๆ หนึ่งมีจุดสมดุลที่แน่นอน แต่ในขณะที่ในชีวิตจริงๆ ไม่มีจุดที่เรียกว่าจุดสมดุลของมัน หรือ ความพอดีเลย...

อุดมการณ์ กับเงินมักไปด้วยกันไม่ได้เสมอ คงเคยได้อ่าน หรือดูข่าว ที่โรงงานผงชูรส หรือ น้ำตาลอะไรนี่แหละ ทำให้น้ำเสีย ทำให้ชาวบ้านออกมาโวยวาย... ถ้าเปรียบชาวบ้าน ฝ่ายหนึ่ง กับโรงงานอีกฝ่ายหนึ่ง...

หากหันหน้าคนละครึ่งทาง ยอมกันก็คงจะดี แต่ใครจะยอมล่ะ ในเมื่อโรงงานก็อยากจะระบายน้ำเสีย + อยากได้เงินเยอะๆ ในขณะที่ชาวบ้านก็อยากได้ค่าชดเชยเยอะ + มีแม่น้ำที่สะอาดไว้เลี้ยงปลา...ก็ต้องประท้วง เรียกร้อง ยัดเงินใต้โต๊ะ เพื่อให้จุดสมดุล มันเปลี่ยนไป...

ในชีวิตจริงแล้ว ผมเลยคิดว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะเกิดความพอดีได้เลย...

นอกเรื่องไปแล้ว จริงๆ แล้วเนี่ยผมจะพูดถึงเรื่องที่ผมคิดตะหากนะ...ว่าผมคิดอะไรๆ เนี่ยก็ดูเหมือนว่าจะหาอะไรที่ลงตัวไม่ได้ซักที บางทีก็คิดหาวิธีที่ดีที่สุดได้ แต่มันก็มีช่องโหว่ มีข้อด้อยของมัน...ทำไมถึงไม่มีอะไรที่มันเพอร์เฟค นะจะได้ไม่ต้องคิดอะไรๆ ให้ปวดหัว

เคยคิดเล่นๆ อยู่เรื่องนึงว่า ที่คิดจะเรียน ป.โท เนี่ยต้องเสียเวลา + เสียเงินไปก้อนนึง...ถ้าหากเอาเวลา + ทุนเรียนไปทำงานต่อเก็บเงินเนี่ยจะดีกว่าไหม... จริงอยู่ว่าเรียนแล้วไปทำงานจะได้เงินเยอะกว่า แต่มันต้องเสียเวลานี่ เผลอๆ ทำงานก่อนเนี่ยอาจจะก้าวหน้าเก็บเงินได้เยอะกว่า รึ อาจจะเก็บเงินไม่ได้เลย...จะมีแบบว่า ทำงานครึ่งนึง เรียนครึ่งนึง ได้ไหมนะ...เหอะๆ

ก็ไม่ไหวอีก มันเหนื่อย ...สรุปได้ว่า นี่ก็ไม่มีวิธีการไหนที่ดี และรับรองผลได้ว่า จะดีกว่าอีกวิธีเลย จริงไหมครับ...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ตัวเองก็คือ "ความพอดี" เนี่ย อยู่ที่คนเรานี่เองแหละ...

ที่บ่นๆ มาเนี่ย ก็เหมือนจะด่าตัวเองแหละว่า เขียนมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้รึไงว่า เรื่องทุกอย่างมันก็กลับมาที่ตัวเรานี่ล่ะ...ผมรู้ครับ แต่ผมหาทางออก หาความพอดีในชีวิตไม่ได้ นี่แหละ ที่มันยาก...

ผมเริ่มเกลียดตัวเองที่ชอบไปอ่านอะไรที่มันประเทืองปัญญาเกิน สู้เรียนๆ เล่นๆ จบๆ ไป ปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ ตามที่ควรจะเป็นคงดีกว่าไหม...เหมือนปฎิกิริยาเคมี ที่ผมพูดถึงไง พอเห็นอันนู้นน่าจะดีปุ๊บ ก็ไปเลยดีกว่า ไม่ต้องคิดอะไรมาก...

555+ ขำๆ นะครับ ยังไงผมก็เลือกที่จะปวดหัว แล้วมาคิดนี่...ก็เพราะชีวิตผมมีครั้งเดียว มีโอกาสเดียวนี่ เพราะฉะนั้นผมขอที่จะเลือก ที่จะคิดดีกว่าปล่อยไปตามยถากรรม...

แล้วจะเขียนทำไมเนี่ย - -*